อวสานของเหรียญคริปโต? 

24 พ.ค. 2564 | 07:45 น.

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ( Value Investor) ชั้นแนวหน้า

สัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่วันที่ 17-21 พฤษภาคม 2564 นั้น  ดูเหมือนจะเป็น  “คิว”  ของบิทคอยน์และเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ต่าง ๆ  ที่ตกลงมาอย่างแรงประมาณไม่น้อยกว่า 15% โดยเฉลี่ย  ตามหลังดัชนีหุ้นโลกที่ตกกันกระหน่ำในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น  เหตุผลที่หุ้นตกหนักนั้นมาจากการประกาศว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังพุ่งพรวดซึ่งจะมีผลกระทบกับอัตราดอกเบี้ยและเม็ดเงินที่อาจจะถูกถอนออกไปจากตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน  

แต่กรณีของเหรียญคริปโตเฉพาะอย่างยิ่งบิตคอยน์นั้น  สิ่งที่ทำให้มันตกลงมาแรงยิ่งกว่าตลาดหุ้นมากนั้นเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ  อย่างที่เกิดพร้อมกันเริ่มตั้งแต่การแถลงของอีลอนมัสก์ว่าจะไม่สนับสนุนบิตคอยน์เพราะมันทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกมากเนื่องจากการขุดหรือทำเหมืองบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล  เขาแถลงพร้อมกับการเลิกรับบิตคอยน์ในการซื้อขายรถเทสลา  นี่ทำให้คนตกใจเนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่เชียร์บิตคอยน์จนออกนอกหน้าและเข้าไปซื้อลงทุนด้วยเงินก้อนโต  คนคิดว่าเขาอาจจะขายบิตคอยน์ไปหมดแล้วจึงออกมาพูด  แต่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่มาก  และหลังจากนั้นก็มีการพูดว่าเทสลาก็ยังถือบิตคอยน์อยู่มาก

ปัจจัยที่สองก็คือการที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มคิดที่จะเข้มงวดกับการเก็บภาษีกำไรจากการขายคริปโตเคอเรนซี่ โดยเฉพาะที่มีมูลค่ารายการเกิน 10,000 เหรียญหรือประมาณ 300,000 บาท  โดยการบังคับให้คนเล่นต้องรายงานต่อสรรพากร  นี่ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ต้องคิดหนักถ้าจะลงทุนในเหรียญเหล่านี้ในระยะสั้นต่อไป  เพราะถ้ากำไรต้องจ่ายภาษีแต่เวลาขาดทุนไม่ได้รับคืนใครจะอยากเทรด?

แต่ปัจจัยที่น่าจะกระทบรุนแรงที่สุดก็คือปัจจัยที่สามนั่นก็คือการที่รัฐบาลจีนประกาศ  “แบน” บิตคอยน์และเหรียญคริปโตทั้งหลาย  ไม่ให้สถาบันการเงินและธุรกิจเกี่ยวข้องกับเงินดิจิตอลเหล่านี้  พูดง่าย ๆ  ห้ามรับเงินเหล่านั้นในการซื้อขายหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ  เพราะเกรงว่ามันจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนกับระบบการเงินของประเทศ  ซึ่งนั่นหมายความว่า  ตลาดที่ใหญ่มากน่าจะเป็นอันดับสองของโลกในเรื่องของการลงทุนและอันดับหนึ่งในแง่ของการ “ขุด” บิตคอยน์ จะ  “หายไป”  

ดังนั้น  บิตคอยน์และเหรียญต่าง ๆ จึงถูกเทขายจนราคาของบิตคอยน์ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อหนึ่งบิตคอยน์จากที่เคยสูงถึง 1.8 ล้านบาทเมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2564 หรือลดลงประมาณ 36% ภายในเวลา 2 สัปดาห์ กลายเป็น  “วิกฤติเหรียญคริปโต” ที่บูมเป็น  “ฟองสบู่” จากราคาเหรียญละประมาณ 300,000 บาท เมื่อ 1 ปีที่แล้วกลายเป็น 2 ล้านบาทในเดือนเมษายนปีนี้ และตกลงมาเหลือ 1.2 ล้านบาท ในวันนี้ หรือเป็นการตกลงมาถึง 40% ในเวลาเพียงเดือนเดียว

คงไม่ต้องพูดว่าคนหนุ่มสาวไทยจำนวนมาก  อาจจะเป็น  “ล้านคน”  ที่เข้ามาเล่นบิตคอยน์และคริปโตเคอเรนซี่อื่น ๆ ในช่วงที่เหรียญเหล่านี้กำลังบูมสุดขีดในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาน่าจะต้องขาดทุนอย่างหนัก  เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวทั้งโลกโดยเฉพาะคนอเมริกันที่ “แห่” กันเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดเหรียญคริปโตต่าง ๆ  ที่ “เจ็บตัว” ยิ่งกว่านักเล่นชาวไทย  อานิสงค์จากการที่มีเครื่องมือขยายอำนาจซื้อเช่นพวกอ็อปชั่นต่าง ๆ  ที่ทำให้สามารถซื้อแบบ  “ยกกำลัง” หลาย ๆ  เท่าจากเม็ดเงินที่มี  

และนี่ก็น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนที่เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดว่า  การ “ทำเงินแบบง่าย ๆ” โดยการเข้าไปเล่นอะไรที่ดูเหมือนว่าจะง่ายมากในช่วงที่ผ่านมานั้น  เป็นเรื่องที่  “ยากมาก” จริงอยู่ที่ว่าราคาบิตคอยน์ในวันนี้ก็ยังสูงเป็น 4 เท่าของราคาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา  และเป็น 10 เท่าของ 1.5 ปีที่ผ่านมาเมื่อบิตคอยน์อยู่ที่แสนสองหมื่นบาท  คนเล่นที่ถือบิตคอยน์มาตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังกำไรมหาศาลและอาจจะกลายเป็นเศรษฐีอยู่ดี  ดังนั้น  การปรับตัวลงมาของบิตคอยน์ในช่วงนี้  ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้อง “เลิกเล่น”  หรือเลิกสนใจการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ที่ยังไงก็เป็น  “อนาคต” ของโลกที่ “หนีไม่พ้น”  และดังนั้น  คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยก็น่าจะยัง “สู้” ต่อไป  หลายคนอาจจะบอกว่า “วิกฤติคือโอกาส”

สำหรับผมเองนั้น  ผมไม่รู้ว่าอนาคตของบิตคอยน์และคริปโตทั้งหลายจะไปอย่างไรต่อ  ผมรู้แต่ว่าการลงทุนในเหรียญเหล่านี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก  ดังนั้น  มันจึงเหมาะกับสภาวะการเงินการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนที่เป็นการ “เก็งกำไร” ซึ่งก็คือสภาวะที่เงินเฟ้อต่ำ  ดอกเบี้ยต่ำ  เงินล้นระบบและคนไม่รู้ว่าจะเอาเงินเก็บไปอยู่ที่ไหนซึ่งก็คือภาวะปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม  สภาวะนี้ก็อาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไป  แค่ไหนผมก็ไม่รู้  ถ้าไม่มาก  คนก็อาจจะเล่นกันต่อไป  สภาวะการเก็งกำไรก็จะยังสูงไปอีกนาน  ถ้าเป็นแบบนั้น  ราคาเหรียญทั้งหลายก็อาจจะกลับมาได้  แต่ถ้าไม่ใช่  ราคาก็อาจจะยังตกต่อไปได้อีกมาก  อย่าลืมว่า  ช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในปี 2000 นั้น  สุดท้ายดัชนีแนสดาคตกลงไปกว่า 75%

ความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งของ “เงินดิจิตอล” ที่สูงมากและเราก็เริ่มได้เห็นแล้วก็คือ  การที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ  อาจจะเริ่มเข้ามาควบคุม  และการควบคุมนั้นมักจะทำให้ “คุณค่า” หรือประโยชน์ใช้สอยของมันลดลง  เหนือสิ่งอื่นใด  เงินดิจิตอลเองนั้น  ที่มันมีคุณค่าก็เพราะว่ามันถูกออกแบบไม่ให้มีใครมาควบคุมได้  เมื่อเป็นแบบนี้  “สงคราม” ก็เกิดขึ้น  “When the old power refuse to die and the new power struggle to be born, evil appear.” แปลว่า  “เมื่ออำนาจเก่าไม่ยอมตายและอำนาจใหม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะเกิด  ความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้น”  และสงครามครั้งนี้อาจจะดำเนินต่อไปอีกยาวไกลมากและก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะชนะ  แต่แค่  “ยกแรก”  เราก็ได้เห็นแล้วว่าความเสียหายนั้นรุนแรงแค่ไหน

ในความเห็นของผม  การลงทุนที่มีความไม่แน่นอนสูงมากที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้  และถ้าปัจจัยเหล่านั้นมีโอกาสที่จะกระทบกิจการที่เราลงทุนแรงมาก  ผมก็ไม่อยากจะลงทุน  ปรัชญาการลงทุนหลักของผมข้อหนึ่งก็คือ  ลงทุนแล้วในระยะยาวจะต้องไม่ขาดทุน  หรือถ้าขาดทุนก็ต้องไม่เป็นหายนะ  ดังนั้น  การลงทุนในเหรียญคริปโตจึงไม่อยู่ในจอเรดาร์การลงทุนของผมเลยทั้ง ๆ ที่บางครั้งผมก็เคยรู้สึกเหมือนกันว่า  หลักทรัพย์นั้นไม่แน่นอนสูงก็จริง  แต่หลังจากที่ราคามันลดลงมากสุด ๆ  แล้ว  โอกาสที่มันจะกลับไปสูงก็ย่อมจะเป็นไปได้  แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดแต่ผมไม่ทำโดยเฉพาะถ้าผมไม่สามารถจะประเมินได้ชัดเจนว่ามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการนั้นควรเป็นเท่าไร  อะไรคือ Fundamental หรือพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ  และนั่นก็นำไปสู่ปรัชญาการลงทุนหลักข้อสองของผมนั่นคือ

ผมจะต้องสามารถกำหนดหรือคาดการณ์  “มูลค่าพื้นฐาน” ที่แท้จริงของกิจการหรือทรัพย์สินนั้นได้  ซึ่งหลักใหญ่ ๆ  ก็คือ  ในกรณีที่เป็นทรัพย์สิน  ก็ดูว่ามันมีราคาตลาดที่มั่นคงต่อเนื่องมาช้านาน  และกรณีแบบนี้ผมก็จะดูว่าช่วงเวลาที่มันตกต่ำมากใน “ประวัติศาสตร์” ย้อนหลังไปอาจจะ 10-20 ปี  มันอยู่ที่เท่าไร  และนั่นก็คือ “มูลค่าพื้นฐาน” ที่ผมอยากจะใช้  แต่ในกรณีที่หลักทรัพย์นั้นเป็นหุ้นหรือเป็นกิจการ  มูลค่าพื้นฐานก็คือ  “ความสามารถในการผลิตกระแสเงินสด” ต่อเนื่องยาวนานไปในอนาคต  และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” หรือความสามารถของกิจการที่จะต่อสู้กับคู่แข่งในระยะยาวของบริษัท 

สำหรับผมแล้ว  ทองคำ  บ้านและที่ดิน  เป็นทรัพย์สินที่ผมอาจจะลงทุนได้ถ้าพบว่าราคาขณะนั้นต่ำกว่า “พื้นฐาน” อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่เคยลงทุนในทองคำเลย  ในขณะที่บ้านและที่ดินนั้น  ในอดีตก่อนที่ผมจะรู้จักกับหุ้น  ผมเคยลงทุนอยู่บ้าง  แต่ผลลัพธ์ก็ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก  โดยรวมก็พอไปได้  บางแปลงก็เป็น  “หายนะ”  บางแปลงก็พอมีกำไรบ้าง   เหตุผลก็ชัดเจนว่า  เรามีความรู้ไม่พอ  และเมื่อรู้แล้วว่าความรู้ไม่พอก็เลิกลงทุนโดยเด็ดขาด  และหลังจากกลายเป็น  “VI” ที่มุ่งมั่น  หุ้นก็กลายเป็นแทบจะสิ่งเดียวที่ผมลงทุน  และก็เป็นการลงทุนที่ “เน้นแต่พื้นฐาน”  เป็นหลัก  แทบไม่สนใจการ  “เก็งกำไร”  แม้ว่าจะมีสิ่งยั่วเย้าเข้ามาตลอดเวลา  ซึ่งก็รวมไปถึงการลงทุนแบบ Venture Capital หรือ Start Up ที่มักจะ “สร้างความฝัน” และความตื่นเต้นให้กับคนที่เป็น  “นักลงทุน” ที่อยากได้กำไรแบบ “สุดยอด” ทุกคน  

ไม่ต้องพูดถึงการลงทุนในเหรียญคริปโตที่เป็น “ที่สุดจริง ๆ” เพราะผลตอบแทนที่เคยให้ถึง 5 เท่า 10 เท่าในเวลาอันรวดเร็วเป็นที่เย้ายวนมากจนนักลงทุนรุ่นใหม่มักจะ “ต้านไม่ไหว”  แต่สำหรับผมซึ่งอยู่มานานและเคยประสบกับสถานการณ์แทบทุกอย่างรวมถึงมีประสบการณ์ที่ “เจ็บปวด” ผมจึงมักจะ  “ทนได้”  ผมเฉยกับสิ่งที่ผม  “ไม่รู้จริง” ผมยอม  “พลาดโอกาสทอง”  ได้ทุกอย่าง  แต่จะพยายามไม่พลาด “ความอยู่รอด” จากหายนะ