มองบวก SET Index ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

09 พ.ค. 2564 | 20:40 น.

คอลัมน์มันนี่ดีไอวาย โดย : รสุนทร ทองทิพย์  นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย มองบวก SET Index ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

เราได้ปรับเพิ่มเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนเป็น 1,640 จาก 1,610 ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก การปรับเพิ่มประมาณการกำไร ความสำเร็จในการฉีดวัคซีนในหลายๆ ประเทศ รวมถึงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายที่ล้วนมีนํ้าหนักมากกว่าปัจจัยลบจากโควิด-19 ระลอก 3 ในไทย

ขณะที่มูลค่าตลาดก็ไม่ได้ตึงตัวด้วยอัตราส่วนต่างผลตอบแทนตลาดและพันธบัตร (EYG) ที่ฟื้นตัวจากจุดตํ่ารอบ 10 ปีที่ 3.32% (หรือ -1SD) เมื่อเดือนก่อนมาอยู่ที่ 3.65% ด้วยแรงหนุนจาก market EPS ที่ปรับเพิ่มขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยระยะ 10 ปี (bond yield)ที่ลดลง

ทั้งนี้ เราชอบหุ้นที่อิงวัฏจักรโลก (global play) มากกว่าที่อิงปัจจัยภายในประเทศ (domestic play) เพราะคาดว่า domestic play จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลและการกระจายฉีดวัคซีนที่ล่าช้าในไทย ขณะที่ upside เพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดอาจมาจากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กลับสู่ภาวะปกติ

ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วพบว่า มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เราพบว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ UK และอิสราเอลลดลงไปมากจากการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว หรือมีการกระจายฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศไปแล้วมากกว่า 60% (อย่างน้องหนึ่งเข็ม) เราเชื่อว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม EMs ที่กำลังเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นที่มีเหตุมาจากการจัดฉีดวัคซีนที่ช้า

เราเชื่อว่าการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระจายฉีดวัคซีนที่ล่าช้า ไทยมีการจัดฉีดวัคซีนไปเพียง 2.2% ต่อจำนวนประชากร (อย่างน้อยหนึ่งเข็ม) ซึ่งถือว่าตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยโลกที่มากกว่า 13% (อย่างน้อยหนึ่งเข็ม)

เราเชื่อว่า ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีการกระจายฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดเกิดใหม่ (EMs) เพราะเศรษฐกิจของกลุ่ม EMs ยังฟื้นตัวไม่มาก 

ทั้งนี้ เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนตํ่ากว่าตลาดหุ้นโลกในไตรมาส 2/2564 สืบเนื่องจากการล็อกดาวน์ในระลอก 3 และการฉีดวัควีนที่ล่าช้าและคาดว่าจะทำให้ต่างชาติชะลอการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเป็นครึ่งหลังของปี 2564 จนกว่าจะคุมสถานการณ์อยู่

Bloomberg consensus คาดว่า Fed จะประกาศแผนการลดขนาด QE ลงในไตรมาส 4/2564 หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดแรงงานฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว จะทำให้ Fed ยังคงไม่พิจารณาลดขนาด QE อีกหลายเดือนและสนับสนุนให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น

โดยคาดว่า ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีการกระจายฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดเกิดใหม่ (EMs) เพราะเศรษฐกิจของกลุ่ม EMs ยังฟื้นตัวไม่มากจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนตํ่ากว่าตลาดหุ้นโลกในไตรมาส 2/2564 สืบเนื่องจากการล็อกดาวน์ในระลอก 3 และการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า (2.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดโลกที่ 13%) และคาดว่าจะทำให้ต่างชาติชะลอการลงทุนในหุ้นไทยจนกว่าไทยจะคุมสถานการณ์อยู่และมีการผ่อนปรนมาตรการที่เข้มงวดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

ในระยะสั้นเราคาดว่า SET Index จะเคลื่อนตัวในกรอบ 1,530 และ 1,640 อิงจาก EYG ที่ -0.75SD ถึง -1.00SD แต่หากเกิดกรณี worst case คือ รัฐบาลดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเป็นเวลานานกว่า คาดจะมีแนวรับที่ 1,500 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียที่เผชิญกับการแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 อย่างหนักจะตกไปเฉลี่ย 5%

"เราแนะนำให้นักลงทุนเน้นหุ้นกลุ่มที่อิงปัจจัยตลาดโลก (global play) (SAT EPG KCE TU PTTGC IVL IRPC และ SCC) ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก ขณะที่คาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นโควิด-19 (vaccine play) อย่างเนื่องในระยะสั้นนี้ (STGT STA COM7 SYNEX JMT และ CHAYO) ซึ่งหุ้น vaccine play ที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์นั้นคาดว่าจะเผชิญแรงกดดันต่อไปจนกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้และมีการยกเลิกมาตรการต่างๆ ทั้งนี้ เราแนะนำให้นักลงทุนเลี่ยงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีงบดุลอ่อนแอและเสี่ยงที่จะต้องเพิ่มทุน"
 

 

คอลัมน์มันนี่ดีไอวาย

โดย : รสุนทร ทองทิพย์ 

นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย


หน้า 14  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,677 วันที่ 9 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564