1 ปีเต็ม สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่ปั่นป่วนไปทั่วโลก กระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆในปี 2563 ที่เห็นชัดแน่ๆ คือ หุ้นไทย ที่ผลตอบแทนลดลงถึง 10% เหตุเพราะตลาดเล็ก สินค้ามีจำกัด ราคานํ้ามันที่ลดลงตามปริมาณการใช้ หรือแม้แต่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ล้วนแต่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบทั้งสิ้น
ปีนี้แม้จะเริ่มต้นด้วยความสดใส จากความชัดเจนในการกระจายวัคซีนไปทั่วโลกและเริ่มมีการฉีดเข็มแรกในไทยไปแล้ว มีการวางไทม์ไลน์เปิดประเทศ เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ หลังจากปีก่อน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถูกกระทบอย่างหนักและมีอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก แต่การระบาดรอบ 3 ที่ประทุขึ้นอีกครั้ง มีจำนวนผู้ติดเชื้อหลายรายและกระจายตัวอย่างรวดเร็ว อาจจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงอยู่แล้ว และจะมีผลกระทบต่อสินทรัพย์การลงทุนเช่นเดียวกัน
นางสาวดุษณี เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ผลิตภัณฑ์การออมและกลยุทธ์ลูกค้าบุคคลธนกิจธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด เปิดเผยว่า วันนี้ต้องดูแลตัวเอง โดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งสำรองไว้ ซึ่งถ้าเป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนต้องสำรองเงิน 1-3 เดือนเผื่อการตกงาน ส่วนเจ้าของธุรกิจ ควรมีสำรองอย่างน้อย 1 ปี เพราะอาจมีความหวั่นไหว ขณะที่คนปกติทั่วไปสำรองอย่างน้อย 6 เดือน
ในแง่การลงทุน หลักง่ายๆในการหาผลตอบแทนคือ ต้องมองรายได้จากสินทรัพย์ให้สามารถทำงานมากกว่าเงินเฟ้อของตัวเอง (ไม่ใช่เงินเฟ้อ 1-2%ของรัฐบาล) เช่น ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหรือเงินที่ต้องมีในกระเป๋าต่อเดือน เพื่อการใช้จ่าย เพราะบางคนเงินส่วนตัว 3-5% แต่บางคนอาจจะสูงถึง 10% แต่ถ้ารายได้จากการให้สินทรัพย์ทำงานหรือผลตอบแทนไม่มากกว่าเงินเฟ้อของตัวเอง เท่ากับ “เงิน” ที่เก็บไว้ทุกวันจะลดมูลค่า
“ถ้าอยากนอนหลับฝันดี ขอแค่รักษาเงินต้น ก็ต้องออมในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งรายย่อยซื้อได้แล้วในวงเงิน 1 แสนบาทหรือเงินฝากยังมีให้เลือกได้ ซึ่งหากสังเกตเงินฝาก สภาพคล่องในตลาดยังล้นมาก ส่วนหนึ่งเพราะธนาคารชะลอปล่อยสินเชื่อตั้งแต่ปีก่อนและพยายามจะลดเงินฝากประจำ 1-2 ปี และมุ่งไปสู่ช่องทางดิจิทัล ซึึ่งแนวโน้มภายใน 2 ปี บอกเลยว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยอาจจะบวกได้แค่ 50 สตางค์” นางสาวดุษฎี กล่าว
ดังนั้น จึงแนะนำให้จัดพอร์ตคือ แบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินฝากที่ต้องใช้ในทุกๆวัน อาจเป็นบัญชีออมทรัพย์ หรือ Money market ก็ได้อายุตํ่ากว่าประมาณ 3-6 เดือน ผลตอบแทน 0.2-1.5% ต่อปี ที่เหลือแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ลงทุนพร้อมเสี่ยงและลงทุนที่มีดอกผลตลอดทาง
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบีประเทศไทยกล่าวว่า ให้เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนไม่สูงก่อน โดยรอจังหวะตลาดปรับฐานค่อยเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง สิ่งที่น่ากังวลในไตรมาสนี้คือ ความไม่แน่นอนของการกลับมาระบาดของโควิด-19 การประเมินมูลค่า(Valuation) และเงินเฟ้อ
ภาพตลาด 3-4 เดือนแรกของปี 2564 ที่กลับข้างกับปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนักลงทุนมอง การลงทุนที่ได้ประโยชน์จากการคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะกลับมาเปิดทำการ เห็นได้จากราคานํ้ามันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ี่สินทรัพย์ปลอดภัยและทองคำถูกเทขาย เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองเปิดรับความเสี่ยง ซึ่ง theme การ
ลงทุนไตรมาสนี้ยังไปที่สินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัยและเน้นลงทุนกลุ่มมูลค่าไปพร้อมกับกลุ่มเติบโต โดยมี 3 ประเด็นหลักสนับสนุนคือ วัคซีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับตํ่าอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก แนะนำลงทุนในหุ้นกู้(High Yield) เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ถูกกดดันจากการปรับตัวของ Bond yield น้อยกว่าพันธบัตรรัฐบาลหรือทองคำ แต่หากย้อนกลับไปมองช่วงปีที่ผ่านมา การลงทุนหุ้นเติบโตสูงปรับตัวดีขึ้น นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นจีน ส่วนภาพรวมผลตอบแทนการออมถูกกดให้อยู่ในระดับตํ่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยย้ายมาลงทุนในทองคำและหุ้นแทน”นายจิติพลกล่าว
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้กล่าวว่า กลุ่มที่รับความเสี่ยงระดับกลาง ซึ่งคาดหวังผลตอบแทน 4-5%ต่อปี นั้นควรให้นํ้าหนักสินทรัพย์เสี่ยง 50-60% ,ตราสารหนี้ 30-40% โดยแบ่งสินทรัพย์เสี่ยง 5-10% ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (กอง อสังหาฯ รีท) ซึ่งกลุ่มนี้น่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว และมีปันผลที่ดี และสินทรัพย์ที่เป็นพระเอกจริงๆคือ สินทรัพย์เสี่ยงที่เหลือประมาณ 50% ส่วนหนึ่งแบ่งลงทุนในหุ้นไทยที่ระดับ 1,550 จุด แต่อยากให้สินทรัพย์เสี่ยงในต่างประเทศมากว่า เพราะอาจมีโอกาสหาผลตอบแทนระยะยาว เพราะมีความหลากหลายอุตสาหกรรม ส่วนทองคำผลตอบแทนไม่น่าจะสู้เงินเฟ้อ แต่อาจจะมีไว้สัก 5%
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,670 วันที่ 15 - 17 เมษายน พ.ศ. 2564