ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 437 จุด นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นธนาคาร-อุตสาหกรรม

06 ม.ค. 2564 | 23:21 น.

ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 437.80 จุด นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างคึกคัก ท่ามกลางความหวังที่ว่า หากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารัฐจอร์เจีย

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (6 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากคาดหวังว่า พรรคเดโมแครตจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารัฐจอร์เจีย ซึ่งจะปูทางให้คณะบริหารของนายโจ ไบเดน สามารถผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่และเพิ่มการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์อ่อนแรงลงจากระดับนิวไฮในระหว่างวัน หลังมีรายงานว่ากลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐ ส่งผลให้สภาคองเกรสต้องระงับการประกาศรับรองชัยชนะของนายไบเดนเป็นการชั่วคราว
          

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,829.40 จุด พุ่งขึ้น 437.8 จุด หรือ +1.44% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,748.14 จุด เพิ่มขึ้น 21.28 จุด หรือ +0.57% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,740.79 จุด ลดลง 78.17 จุด หรือ -0.61%
          

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารที่พุ่งขึ้นกว่า 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.81%
          

นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างคึกคัก ท่ามกลางความหวังที่ว่า หากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารัฐจอร์เจีย ก็จะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ซึ่งจะเอื้อต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
          

นอกเหนือจากความหวังในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 1% เมื่อคืนนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนผลประกอบการของภาคธนาคาร
          

ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 5.39% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 4.65% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 6.21% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 5.74%
          

ส่วนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 5.56% หุ้น 3M บวก 1.52% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 5.48%
          

หุ้นโมเดอร์นา ทะยานขึ้น 6.48% หลังจากวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของโมเดอร์นาได้รับการอนุมัติจากสำนักงานยาแห่งยุโรป (EMA) ให้ใช้ในสหภาพยุโรป โดยวัคซีนของโมเดอร์นานับเป็นวัคซีนตัวที่ 2 ที่ผ่านการอนุมัติของ EMA หลังจากที่สหรัฐและอังกฤษได้ให้การอนุมัติก่อนหน้านี้
          

หุ้น AmerisourceBergen ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 8.60% หลังจาก AmerisourceBergen ประกาศเข้าซื้อธุรกิจการจัดจำหน่ายยาของบริษัท Walgreens Boots Alliance ในวงเงิน 6.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายธุรกิจในยุโรป ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้น Walgreens พุ่งขึ้น 4.54%
          

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง และได้ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าหากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส จะทำให้มีการออกมาตรการปรับขึ้นอัตราภาษี และออกกฎระเบียบคุมเข้มบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.82% หุ้นแอมะซอนดอทคอม ดิ่งลง 2.49% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.59% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 3.32% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 3.9%
          

นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐ ส่งผลให้ต้องมีการอพยพผู้คนออกจากอาคารรัฐสภา และทำให้สภาคองเกรสต้องระงับการประกาศรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของนายโจ ไบเดน เป็นการชั่วคราว
          

รายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การอารักขารองปธน.ไมค์ เพนซ์ ซึ่งเป็นประธานในการประกาศผลการนับคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง ขณะที่นางมูเรียล บาวเซอร์ นายกรัฐเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ได้ประกาศเคอร์ฟิวในกรุงวอชิงตัน เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ไปจนถึงวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น และได้ขอให้ทหารจากหน่วยกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ตรึงกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยในวอชิงตัน
          

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลง 123,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 88,000 ตำแหน่ง โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจปิดกิจการและปลดพนักงานจำนวนมาก
          

ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.8 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนพ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
          

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)  และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.