ย้อนรอยกันสักนิดถึงระบบการเงินแบบ Decentralized Financial หรือระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยแนวคิด “อยากสร้างโลกการเงินแบบไร้ศูนย์กลางที่สามารถทำได้มากกว่าแค่รับ - โอนเงิน”
โดยแอปพลิเคชั่นและระบบต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นบน DeFi นั้นสามารถรองรับการทำธุรกรรมแบบเดียวกับด้านการเงินได้แทบทุกรูปแบบ อาทิ การปล่อยกู้ , การลงทุน , การฝากเพื่อรับดอกเบี้ย รวมไปถึงการค้ำประกันต่างๆ โดยมากแล้วระบบบน DeFi นั้นมักจะรับเหรียญสกุลหลัก อาทิ ETH, BTC และ USDT ในการค้ำประกัน และจะได้ผลตอบแทนในการเชื่อมต่อกับระบบเป็นดิจิทัลโทเค็นต่างๆ โดยหากนักลงทุนได้ทำการนำเหรียญไปฝากไว้กับแพลตฟอร์มหรือเหมืองใดที่มีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี แนวโน้มของมูลค่าเหรียญที่ได้รับจะสูงขึ้นตามไปด้วย เป็นการทำกำไรง่ายๆ อีกช่องทางหนึ่งที่น่าสน
อ่านบทความย้อนหลัง
12 รหัสลับของกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้นสำคัญไฉน
ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองมูลค่ามหาศาล จะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนของจริง?
การเงินกับโลกแห่งอนาคตที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนไป
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นบนบล็อกเชนต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยแนวคิด DeFi มากมาย ซึ่งเงื่อนไขในการเข้าร่วมบริการก็แตกต่างกันออกไป
เว็บไซต์ Defi Pulse เผย ปัจจุบัน (ตุลาคม 2563) จำนวนเหรียญ ETH ที่ถูกล็อกในระบบมีจำนวนมากขึ้นถึง 218.5%
ทั้งนี้ เว็บไซต์ Defi Pulse เผยว่า ในปัจจุบัน (ตุลาคม 2563) จำนวนเหรียญ ETH ที่ถูกล็อกในระบบมีจำนวนมากขึ้นถึง 218.5% นับจากเดือน มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยมี
เหรียญ ETH ในระบบเพิ่มขึ้น จาก 2.7 ล้าน ETH เป็น 8.6 ล้าน ETH
เหรียญ BTC ในระบบเพิ่มขึ้น 5,000 BTC 158,800 BTC (หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 3,000%) นั่นเอง
ในประเทศไทยเองกระแสการลงทุนในระบบ DeFi นี้ก็เป็นที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย เนื่องจากสายทำเหมืองที่จากแต่ก่อน ต้องลงทุนกับเครื่องขุดมหาศาลและยังต้องรับความเสี่ยงเรื่องค่าไฟที่อาจบานปลาย และค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ที่อาจตกรุ่น ได้ให้ความสนใจในด้านการลงทุนรูปแบบนี้มากขึ้น ด้วยเหตุผลหลัก “ด้านความเสี่ยงที่ต่ำลงอย่างมาก”
ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนทุกรูปแบบย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนการลงทุน
ที่มา : Bitkub