คริปโต รีเทิร์น ปี63 สดใส
คริปโตเคอร์เรนซีและสกุลเงินดิจิทัลเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพัฒนาการก้าวหน้าด้านสินทรัพย์ดิจิทัลแและคริปโตเคอร์เรนซีเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของประเทศ กำลังทดสอบโครงการเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่ถูกสร้างโดยธนาคารเอง ภายใต้ชื่อ “อินทนนท์” เพื่อนำมาใช้ในการชำระธุรกรรมระหว่างธนาคารด้วยกัน (Whole Sale Settlement Central Bank Digital Currency: CBCD) เป็นกลไกการ พัฒนาคริปโตเคอร์เรนซีในรูปเงินบาท เพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัลจำลองโดยธนาคารกลางเป็นผู้ออก
อย่างไรก็ตามหลังจากพระราช กำหนด(พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พร้อมพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ที่กำหนดประเภทเงินได้จากสินทรัพย์ดิจิทัล มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ทำให้ดูเหมือนว่าภาพรวมตลาดจะเงียบเหงาลง พร้อมๆ กับการประกาศยุติิบทบาทการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset ของบริษัท บิทคอยน์ จำกัด)
“ปรมินทร์ อินโสม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ก่อตั้งเหรียญ Zcoin (XZC) และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในไทยอย่าง SatangPro เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปีที่แล้ว จะเห็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เพราะถ้ามองจากคนนอกมองไปที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะในเชิงผู้บริหาร เพราะเดิมที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ ก.ล.ต.ถือว่าค่อนข้างสนับสนุนดิจิทัลให้เกิดหลายเจ้าไม่ใช่เจ้าเดียว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. ซึ่งท่านเองก็สนับสนุน แต่อาจจะเข้ามาเพียง 8 เดือน จึงยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ว่า แผนที่วางไว้เดิมคืออะไรและต้องปรับเปลี่ยนอะไรให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน เพราะผ่านมา 2 ปีแล้ว
การออกพระราชกำหนดมากำกับดูแลการซื้อขายในตลาดเหรียญดิจิทัลถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำได้ค่อนข้างดีสำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ ทำให้คนที่ต้องการทำให้ถูกระเบียบไปเลย ไม่ต้องกังวลว่า จะทำผิดในภายหลัง และมีเรื่องความน่าเชื่อถือด้วย ไม่ใช่ใครจะตั้งอะไรหรือออกอะไรก็ได้ ความน่าเชื่อถือจะน้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่ไม่มีการกำกับ ใครอยากทำอะไรก็ได้ แต่ก็ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้า ตอบโจทย์คนทำได้มากกว่าการตีกรอบ ทำให้มีข้อเสียคือ ไปสู้กับใครก็ลำบาก ไม่สามารถสู้กับใครได้
“เราเป็นหนึ่งใน 3 รายที่ได้ในอนุญาตจากก.ล.ต.ทั้งที่เป็นผู้ออกเหรียญเองและเป็นตัวกลางในการซื้อขายเหรียญ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ดังนั้นเราจึงมีความน่าเชื่อถือในฐานะอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งเดิมมี 7 ราย แต่เสถียรภาพอีก 4 สกุลยังน้อยอยู่ คนไม่ใช้กัน เลยตัดออก ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตอนนี้มีอยู่ 3 รายคือ สตางค์ บิทคลับ และหั่วปี้ โดยปีที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายน้อยมาก ประมาณ 100-200 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดการณ์รวมทั้งในตลาดและนอกตลาดหรือประมาณ 7 ล้านดอลลาร์ต่อวันเท่านั้น ถือว่าตลาดบางมาก ส่วนหนึ่งเพราะการประชาสัมพันธ์ออกไปลูกค้ายังไม่เข้าใจโปรดักต์ค่อนข้างเยอะ ถ้าเปรียบเทียบตลาดคริปโตเคอร์เรนซีช่วงนี้ก็คงเหมือนกับตลาดหุ้นในอดีตช่วงตั้งตลาด คนยังไม่เข้าใจว่า เทรดหุ้นคืออะไร แต่ถ้าเขาเข้าใจการลงทุนและมีกำไร ก็จะมีคนเข้ามาเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต.อยู่ระหว่างพิจาราณาออกใบอนุญาตการเป็นที่ปรึกษา (FA) ในการออกเหรียญ ซึ่งจะทำให้ตลาดคริปโคเคอร์เรนซีมีลักษณะคล้ายตลาดทุนมากขึ้นและการเติบโตใกล้เคียงตลาดมากขึ้น โดยจะเป็นใบอนุญาตสำหรับการออกเหรียญโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างบริษัท อาร์เอส โปรโมชั่นฯ จะมีลิขสิทธิ์เพลงจำนวนมาก ก็สามารถออกลิขสิทธิ์เพลงเหล่านั้นมาเป็นเหรียญขายให้กับคนทั่วไปได้
“ถ้าก.ล.ต.ออกใบอนุญาตนี้มาจะทำให้เรามีช่องทางในการทำธุรกิจมากขึ้น เพราะยังมีธุรกิจอีกมากที่สามารถนำสินทรัพย์ที่มีมาหนุนหลังในการออกเหรียญแทนที่จะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุน ทำให้เจ้าของบริษัทเองมีช่องทางในการระดมทุนมากขึ้น แทนที่จะเป็นการเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนหรือการออกหุ้นกู้ ขณะที่คนที่ได้ FA ในการออกเหรียญก็จะมีช่องทางในการหารายได้มากขึ้น และเหรียญก็จะน่าเชื่อถือมีสินทรัพย์หนุนหลัง คนถือเหรียญมีความเป็นเจ้าของนั้น”
สำหรับทิศทางการลงทุนเหรียญดิจิทัล “ปรมินทร์” กล่าวว่าในภาวะที่เกิดความผันผวนและไม่แน่ใจในสถานการณ์โลก สินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนจะโยกมาลงทุน โดยจะเห็นว่าช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีมากขึ้น อย่างเหรียญบิตคอยน์ที่เคยสูงสุดที่ 20,000 ดอลลาร์ลงไปตํ่าสุดที่ 3,000 ดอลลาร์ แต่ราคาล่าสุดราคาปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9,000 ดอลลาร์แล้วและน่าจะมีทิศทางที่จะเพิ่มขึ้น เพราะยังมีช่องว่าที่จะให้นักลงทุนทำกำไร เพราะตลาดคริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้ซื้อขายกันเฉพาะในประเทศ แต่จะซื้อขายกันทั่วโลก เมื่อราคาที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดการอาร์บิิทราจเกิดขึ้น
สินทรัพย์ดิจิทัลทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้น ทั้งนักลงทุนผู้นำสินทรัพย์มาขายรวมถึงคนซื้อสินทรัพย์ เพราะความเร็วจากการจัดการธุรกรรมซื้อขายต่างๆ จากที่ต้องใช้เวลา 1-3 วันเหลือเพียงหลักวินาที ผู้ขายจะได้รับเงินเลย อีกฝั่งก็ได้รับกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ทันที ขณะที่สินทรัพย์ก็หลากหลายจากทั่วโลก
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,545 วันที่ 2-5 กุมภาพันธ์ 2563