กุรข่า: นักรบรับจ้างที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างผู้ถือหุ้น

31 ต.ค. 2563 | 02:00 น.

กุรข่า: นักรบรับจ้างที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างผู้ถือหุ้น ตอน 1

 

 

กุรข่า: นักรบรับจ้างที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างผู้ถือหุ้น

 

รูปภาพหนุ่มในชุดเครื่องแบบขาสั้นข้างต้นนี้ เผินผิวเหมือนลูกเสือเยาวชน ทำอะไรน่าจะไม่ได้นักนอกจากเปนผู้ช่วยเจ้าพนักงานในราชการต่างๆ แต่หากเพ่งพินิจดูให้ละเอียดถึงสัญลักษณ์ดาบข้องอไขว้หน้าหมวกแล้วไซร้ จักได้รู้ว่านี่แหละคือ เสือตัวพ่อหมอบอยู่ชัดๆ

 

กูรข่า หน่วยรบทรโหดในตำนานของจักรวรรดิอังกฤษ ที่ยังได้รับการกล่าวขานถึงความหฤโหดมาจนทุกวันนี้

 

1 ต่อ 28 คือวีรกรรมของเขาเมื่ออายุ 29 ปี 

 

เมื่อคราวสงครามอัฟกานิสถาน กลางดึกคืนวันที่ 17 กันยายน 2010 สิบตรี ทิพประศาสน์ ปัณ นายหมู่ปืนเล็กสังกัด กองพันทหารราบกุรข่าที่ 1 กองทัพบกสหราชอาณาจักร ต่อต้านการบุกเข้าโจมตีฐานที่มั่นจากพวกฏอลีบานที่รุมถล่มเข้ามาอย่างพายุโหม  ด้วยลำพังเพียงคนเดียวยืนหยัดประจัญบาน ขณะเข้าเวรตรวจพื้นที่

 

สิบตรี ทิพประศาสน์ ปัณ

 

สังหารผู้ก่อการกลุ่มฏอลีบานที่มีและใช้ ปืนกล ปืนอาก้า และ เครื่องยิงระเบิดอาร์พีจี ได้ทั้งสิ้น 12 ศพ บาดเจ็บซมซานกลับไปอีก 16 นาย! ในเวลาทั้งสิ้น 17 นาที !! ด้วยปืนกลที่สิ้นลูกกระสุนไป 400 สาย ระเบิดมือ 17 ลูก และ ทุ่นระเบิด 1 ดุ้น

 

สมเด็จพระบรมราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญกล้าหาญ กางเขน ชั้นที่สอง เปนเครื่องสดุดีวีรกรรมผู้กล้า

 

ตรวจสอบประวัติทางทหารพบว่า เปนหลานปู่ ร้อยตรี ตุลย์ บะหะดูร์ ปัณ นายทหารพิเศษ หน่วยทหารกูรข่ารักษาพระองค์ที่ 6 ผู้ซึ่งต้องมีอักษร VC ต่อท้ายนามด้วยมีเกียรติคุณปรากฏถึงความห้าวหาญ ในราชการสงครามพม่าคราวญี่ปุ่นบุกมหาเอเชียบูรพา ในฐานะพลปืนเล็กปกป้องทางรถไฟ แม้ถูกยิงเข้าสะโพก ลำพังตัวคนเดียว คืบคลานผ่านทะเลโคลน สังหารอริราชศัตรู 4 เสียศพด้วยปืนประจำตัว! อีก 3 ศพ หมดกระสุนแล้วใช้ปาดคอด้วยดาบสั้นข้องอกรุกรี !! และอีก 30 ศพที่ก่อนตายดาหน้าเข้ามาหมายจะรุมหมู่ ด้วยเครื่องพ่นไฟ !!! ผู้แพ้เรียกคงเรียกวีรเวร แต่ผู้ชนะเรียกวีรกรรม

 

ปู่ ตุลย์ ปัณ ในขณะนั้น ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุดแถบเลือดหมู THE VICTORIA CROSS ทัพญี่ปุ่นที่ว่าแน่ๆตัว_ตัวแล้วแพ้ทางกุรข่า

 

คนเหล่านี้เปนใคร? ปู่_หลาน ผู้สืบสันดานความห้าวหาญ?

 

หลายปีมาแล้วคราวอังกฤษเข้าครอบดินแดนเชิงเขาหิมาลัยภายใต้นามบริติชราช หรือ บริติชอินเดีย การรุกคืบจากบอมเบย์เลาะเข้ามายังราชรัฐเล็กใหญ่ พิชิตนิซามแห่งไฮเดอราบาดผู้มั่งคั่งนับถืออิสลามแล้ว ไปได้ราชสถานของราชาซิกข์ เรื่อยไปจนถึงภูมิประเทศสูงชันได้ชัยเหนือกาฐมาณฑุ วงศ์พิเรนทราเกือบยอมจำนนแล้ว แต่ในหุบเขาโพคารา เหล่าชนท้องถิ่นภูเขาชันหลายหมู่บ้านสองสามเผ่ารวมตัวกันยืนหยัดสู้ผู้รุกรานด้วยยุทธการกองโจรที่ในมือมีเพียงดาบสั้นข้องอนาม กรุ_กรี ทั้งชาย_หญิง_เด็กเล็ก_เฒ่าชะแร เมื่อจารึกใบดาบด้วยอักษรพื้นเมืองได้ความว่า “sward of shiva” หรือ ดาบของพระศิวะ เเล้วไซร้ นัยของผู้ทำลายล้างของพระมหาเทพองค์นั้นคงปลุกขวัญปรนใจให้กองกำลังกุรข่านี้ตีทหารฝ่ายอังกฤษ (ซึ่งแม้จะปนทหารซิกข์ ทหารมุสลิมซึ่งรับเกณฑ์มาจากภูมิภาคอินเดียที่ตกเปนเครือจักรภพเข้ามา) แตกกระสานซ่านกระเซ็นตกภูหลักภูเขากันไปหลายคราว

 

รูปชาวหิมาลัยหญิงชาย ใช้มีดกรุ_กรี ประจัญบานทหารอังกฤษ

 

อังกฤษยกธงขาวขอเจรจาสงบศึก และตามประสานักธุรกิจที่ดี ผลการเจรจาคือขอจ้างนักรบกุรข่าเข้าประจำการในกองทัพของตน_ล่าอาณานิคมอื่นเสริมสร้างจักรวรรดิ์อาทิตย์ไม่ตกดินต่อไป!

 

ก่อนที่เนปาลจะถูกกบฎลัทธิเหมาเอาชนะวงศ์กษัตริย์พิเรนทราได้เข้าบริหารประเทศนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษจะต้องทูลขอพระบรมราชานุญาติกษัตริย์เนปาล ให้ทหารกุรข่าสัญชาติเนปาลเข้าถวายงานในฐานะ The Queen’s Own Bodyguard คือนอกจากเปนราชองครักษ์ ( -’s bodyguard) แล้ว ยังเปนที่ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ (own’s guard) อีกด้วย จากรูปจะเห็นเดินเเซงเสด็จถวายอารักขา

บรรพชนทหารกุรข่าอวดเหรียญกล้าหาญแก่ลูกหลาน

 

สมเด็จฯเสด็จตรวจพลกองทหารกุรข่า

 

นอกจากนี้ที่สถานเอกอัครราชทูต สถานทูตของสหราชอาณาจักรทั่วโลก ซึ่งเปนถิ่นพำนักของท่านทูตซึ่งถือเปนผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินี หรือ จวนผู้สำเร็จราชการเครือจักรภพ ทำเนียบผู้ว่าการเกาะฮ่องกง (ก่อนคืนเกาะ) นั้น กองกำลังรักษาท่านทูต ท่านเอกอัครราชทูต ท่านผู้สำเร็จราชการ ท่านผู้ว่า ล้วนเปนทหารกุรข่าทั้งสิ้น!

 

ในไทยบางคราวอากาศร้อนเห็นทหารกุรข่าหน้าสถานทูตอังกฤษ สวมกางเกงกากีแกมเขียวขาแค่เข่าใส่หมวกปีกประดับพู่ แขวนมีดซุยร้อยเข็มขัดหนังล่ะก็_อย่าได้คิดว่าเปนลูกเสือ boy scout เข้าทีเดียว!

 

ทหารกุรข่าประจำการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ติดตามต่อตอน 2

 

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 หน้า 23 ฉบับที่ 3,623 วันที่ 1 - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563