ชี้อังกฤษออกจากอียู ไม่กระทบผู้ประกอบการไทย

01 ก.พ. 2563 | 06:06 น.

“พาณิชย์” เร่งปูทาง “เอฟทีเอ” กับอังกฤษหลังออกจากการเป็นสมาชิกอียูอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าจัดสัมมนาให้ความรู้กฎระเบียบการค้ากับอังกฤษหลังเบร็กซิท มีนาคมนี้  ย้ำไม่กระทบผู้ประกอบการไทย เร่งปูทางจัดทำเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคต

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่สหราชอาณาจักร (อังกฤษหรือ UK) ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) อย่างเป็นทางการเมื่อเวลา  23.00 น  ของวันที่ 31 มกราคม 2563 (หรือเวลา 6.00 น ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลาประเทศไทย) ซึ่งอังกฤษใช้เวลาดำเนินการกว่า 3 ปี นับจากวันที่ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2559 จนสามารถบรรลุผลการเจรจาข้อตกลงการถอนตัว และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาของทั้งสองฝ่ายได้เป็นผลสำเร็จนั้น  นับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2563 จะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 11 เดือน ที่อังกฤษจะยังคงอยู่ภายใต้กฎระเบียบของอียูแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงใด ๆ โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องเร่งเจรจาจัดทำความตกลงทั้งด้านการค้าไปจนถึงความมั่นคงเพื่อให้การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่สะดุดเมื่ออังกฤษออกจากอียูอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2564

ชี้อังกฤษออกจากอียู  ไม่กระทบผู้ประกอบการไทย

 

สำหรับผลกระทบต่อไทยจากกรณีที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกอียู (เบร็กซิท) ในชั้นนี้ ประเมินว่า ไม่น่ามีผลกระทบมาก อาจมีเพียงความผันผวนอ่อนค่าลงของเงินปอนด์เล็กน้อย โดยการค้าระหว่างอังกฤษกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทยจะยังคงดำเนินไปได้ตามปกติ ภายใต้กฎระเบียบการค้าเดิมเสมือนว่าอังกฤษยังอยู่กับอียูไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างนี้อังกฤษจะหารือกับอียูเพื่อเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งกรมฯ จะติดตามผลการหารือนี้อย่างใกล้ชิดว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร และจะมีผลกระทบหรือสร้างโอกาสทางการค้ากับไทยมากน้อยเพียงใด เพื่อประสานกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมการปรับตัวได้ทันท่วงที

 

ชี้อังกฤษออกจากอียู  ไม่กระทบผู้ประกอบการไทย

ทั้งนี้กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์เบร็กซิทอย่างใกล้ชิด และเตรียมการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเจรจากับทั้งอียูเเละอังกฤษเรื่องการแก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับโควตาสินค้าจำนวน 31 รายการ ไม่ว่าจะเป็น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลากระป๋อง เป็นต้น ที่ไทยเคยได้รับโควตาจากอียู เเละจะต้องมีการจัดสรรเเบ่งโควตาใหม่ภายหลังอังกฤษออกจากอียู (เบร็กซิท) โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นในการรักษาผลประโยชน์ของไทยให้ได้รับปริมาณโควตารวม (ที่ทั้งอียูและอังกฤษจะต้องจัดสรรโควตาให้ไทยใหม่) ไม่น้อยกว่าที่ไทยเคยได้รับเมื่อตอนที่อังกฤษยังเป็นสมาชิกอียู รวมทั้งสะท้อนปริมาณการค้าจริงระหว่างไทยกับอียู 27 ประเทศ และอังกฤษให้มากที่สุด เนื่องจากอังกฤษเป็นคู่ค้ารายสำคัญอันดับที่ 21 ของไทย (อันดับที่ 2 ในอียู รองจากเยอรมนี) มีมูลค่าการค้ากับไทยปี 2562 อยู่ที่ 6,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้า 1,426 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การกระชับความสัมพันธ์กับอังกฤษภายหลังเบร็กซิทจึงเป็นเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญ ซึ่งขณะนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างศึกษานโยบายและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอังกฤษ และมีกำหนดจัดประชุมเพื่อระดมความเห็นกับภาครัฐและภาคเอกชนในวันที่ 7 และ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อไทยและอังกฤษจัดทำรายงานการศึกษานโยบายการค้าของกันและกันเสร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่กระบวนการหารือเพื่อจัดทำรายงานนโยบายการค้าร่วมกันต่อไป ซึ่งจะช่วยปูทางไปสู่การจัดทำเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคต

ชี้อังกฤษออกจากอียู  ไม่กระทบผู้ประกอบการไทย

 

“กรมฯ มีแผนที่จะจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ และผู้สนใจในเรื่องการประกอบธุรกิจและกฎระเบียบการทำการค้ากับยูเคภายหลังเบร็กซิทในเดือนมีนาคมนี้ โดยเชิญวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือเบร็กซิท รวมถึงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนระหว่างไทยและอังกฤษต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกัน กรมฯ อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยเรื่องประโยชน์และผลกระทบต่อไทยในการทำเอฟทีเอกับอังกฤษรวมทั้งเตรียมจัดรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และภาคประชาสังคมในเรื่องดังกล่าว เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลเสนอระดับนโยบายตัดสินใจเรื่องการทำเอฟทีเอระหว่างสองประเทศต่อไป”

ทั้งนี้การค้าไทยกับอังกฤษในปี 2562 มีมูลค่ารวม 6,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า11.04 % โดยไทยส่งออกไปอังกฤษ 3,843 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ไก่แปรรูป รถยนต์และอุปกรณ์ แผงวรจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์ เครื่องจักรกล เป็นต้น และไทยนำเข้าจากอังกฤษ 2,417 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวรจรไฟฟ้า เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เป็นต้น