‘เว่ย แซม แลม’ ทรานส์ฟอร์ม ROCTEC จากบริษัทสื่อโฆษณา สู่ผู้นำ ICT ภูมิภาค

21 ธ.ค. 2568 | 06:03 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ธ.ค. 2568 | 06:07 น.

ROCTEC เดินหน้าปรับโครงสร้างสู่ธุรกิจ ICT เต็มรูปแบบ ชูจุดแข็งงานระบบราง–สนามบิน พร้อมบุกตลาดไทยและอาเซียนในยุคลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพุ่ง เตรียมขยายงานภาครัฐและ Smart City หนุนเติบโตระยะยาว

KEY

POINTS

  • ROCTEC ปรับเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่จากผู้ติดตั้งสื่อโฆษณา สู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน ICT แบบครบวงจร โดยมีรายได้หลักกว่า 85% มาจากธุรกิจนี้
  • บริษัทมุ่งเน้นธุรกิจระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Transport) เช่น ระบบรางและสนามบิน โดยใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากฮ่องกงเป็นจุดแข็ง
  • ไม่ได้แข่งขันกับผู้ขายสื่อโฆษณา แต่ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างและวางระบบพื้นฐานให้ใช้งาน และล่าสุดชนะสัญญางานระบบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • มีแผนขยายธุรกิจไปสู่โซลูชัน AI สำหรับเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และตั้งเป้าเติบโตในตลาดไทย เวียดนาม และภูมิภาคอาเซียน

ROCTEC ผู้พัฒนางานระบบจากฮ่องกง เร่งเดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ หลังประกาศเปลี่ยนบทบาทจากผู้ติดตั้งจอดิจิทัลสื่อโฆษณาในอดีต สู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน ICT แบบครบวงจรเต็มรูปแบบ (ICT Solutions Provider) โดยมีธุรกิจระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Transport Systems) เป็นฐานหลัก พร้อมขยายการลงทุนในไทยและภูมิภาคท่ามกลางโอกาสจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตต่อเนื่อง

นายเว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ROCTEC เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในวันนี้แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นบริษัทสื่อโฆษณาหรือผู้ติดตั้งจอ แต่ปัจจุบัน ROCTEC คือผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ ICT ที่มีความสามารถเชิงลึกในงานระบบขนส่ง ทั้งระบบราง สนามบิน ระบบควบคุม ระบบสื่อสาร และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินรถ ซึ่งล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Smart Mobility ในยุคใหม่

“เราทำ ICT ไม่ใช่แค่ติดตั้งจอ แต่เป็นผู้พัฒนาและบูรณาการโซลูชันที่มีมาตรฐานระดับระบบขนส่ง ซึ่งต้องรองรับความปลอดภัยสูงและมีความซับซ้อนมากกว่าอุตสาหกรรมทั่วไป”

ROCTEC มีต้นกำเนิดที่ฮ่องกงตั้งแต่ปี 1987 ก่อนพัฒนาสู่การเป็นผู้วางระบบ (System Integrator) ในงานระบบขนส่งระดับเมือง ทั้งรถไฟฟ้า สนามบิน และระบบสื่อสารของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ความเชี่ยวชาญดังกล่าวขยายมาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2004 ผ่านโครงการระบบสื่อสารและหน้าจอดิจิทัลของรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปักหมุดตลาดไทยอย่างเป็นทางการ

จากผู้นำเข้าหน้าจอและอุปกรณ์ด้านสื่อสาร ROCTEC ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ผู้ดูแลงานระบบภายในสถานี ทั้งระบบเครือข่าย ระบบไฟ ระบบควบคุม รวมถึงงานบำรุงรักษา ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญให้บริษัทสามารถขยับเข้าสู่ธุรกิจ ICT แบบเต็มตัวในเวลาต่อมา บริษัทเริ่มเข้าไปลงทุนใน “MACO” ตั้งแต่ปี 2018 ก่อนเดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ในปี 2023 ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา รายได้กว่า 85% มาจากธุรกิจ ICT และอีก 15% มาจากสัมปทานสื่อสตรีทเฟอร์นิเจอร์ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสจำนวน 22 สถานีที่ยังดำเนินไปจนถึงปี 2029 ซึ่ง ROCTEC ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ ขณะที่การขายสื่อบริหารโดยพันธมิตรอย่าง Plan B

‘เว่ย แซม แลม’ ทรานส์ฟอร์ม ROCTEC จากบริษัทสื่อโฆษณา สู่ผู้นำ ICT ภูมิภาค

นายเว่ยย้ำว่า ROCTEC ไม่ได้แข่งขันกับผู้ขายสื่อ เช่น VGI หรือ Plan B เพราะไม่ได้ขายพื้นที่โฆษณา แต่เป็น “ผู้สร้างระบบให้ผู้ขายสื่อใช้งาน” ลูกค้าของบริษัทคือผู้ให้บริการสื่อรายใหญ่ ซึ่งต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหน้าจอ ระบบเชื่อมต่อ และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความน่าเชื่อถือสูง ปัจจุบัน ROCTEC มีจอดิจิทัลติดตั้งทั่วประเทศกว่า 20,000 จอ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายงานติดตั้งที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยงานติดตั้งในพื้นที่สำคัญ เช่น สยามพารากอน หรือสถานีรถไฟฟ้า ต้องมีมาตรฐานสูงด้านความร้อน ความสั่นสะเทือน และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ บริษัทเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยี Sensor Sync มาใช้ในไทย เพื่อซิงก์ภาพโฆษณาบนชานชาลากับขบวนรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาร่วมกับทีมจากฮ่องกง ช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสื่อในระบบขนส่งไทย ในปัจจุบัน ธุรกิจ ICT เป็นหัวใจหลักของ ROCTEC โดยมีโครงสร้างรายได้แบบ “Recurring” จากงานบำรุงรักษาและงานอัปเกรดระบบอยู่ที่ 20–30% ช่วยให้รายได้ของบริษัทมีเสถียรภาพมากกว่าผู้รับเหมา ICT ที่รับงานติดตั้งและจบโครงการ

นายเว่ยอธิบายว่า งานระบบขนส่งมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ต้องผ่านการรับรองและทดสอบหลายขั้นตอน ทำให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาได้ยาก และเป็นจุดแข็งเชิงการแข่งขันของบริษัท ซึ่งมีทีมงานที่ผ่านประสบการณ์ระบบรางและงานสนามบินในฮ่องกงมามากกว่า 40 ปี หนึ่งในงานสำคัญของปีล่าสุดคือการได้รับสัญญาโครงการระบบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มูลค่าเฟสแรกประมาณ 1,500 ล้านบาท โดย ROCTEC รับงานประมาณ 30% ร่วมกับพันธมิตรอีกสองราย นับเป็นงานระบบขนส่งภาครัฐครั้งแรกในไทย และเป็น “ตั๋วผ่านประตู” ที่จะเปิดโอกาสสู่โครงการเฟสถัดไป เช่น รถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ที่ไทยเตรียมผลักดันในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า

“งานภาครัฐประเภทนี้แม้กำไรไม่สูง แต่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์ เพราะทำให้เราเข้าไปอยู่ในตลาดใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานไทยได้”

ข้อได้เปรียบสำคัญคือการมีทีม R&D ของบริษัทเองในฮ่องกงและไทย ซึ่งสามารถออกแบบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์สถานการณ์เฉพาะ ความสามารถด้าน R&D ช่วยให้บริษัทตอบสนองลูกค้าได้เร็วกว่า ลดค่าใช้จ่าย และมีโอกาสสร้างรายได้จากอัปเกรดเวอร์ชันในระยะยาว

ROCTEC ยังขยายไปสู่การพัฒนาโซลูชัน AI สำหรับเมืองอัจฉริยะ โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ เตรียมนำเสนอสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เช่น ระบบที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้พักอาศัย ปรับไฟ–อุณหภูมิอัตโนมัติ เชื่อมต่อบริการสั่งอาหาร หรือแนะนำคอนเทนต์สตรีมมิง ในส่วนสาธารณูปโภค บริษัทกำลังพัฒนาระบบ AI สำหรับสนามบิน อาคารขนาดใหญ่ และศูนย์คมนาคม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตในไทยและอาเซียน และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐบาลหลายประเทศ

ฮ่องกงยังคงเป็นฐานรายได้ใหญ่ที่สุดของ ROCTEC เนื่องจากนโยบายและงบประมาณรัฐมีเสถียรภาพ แต่บริษัทตั้งเป้าขยายในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่มีการร่วมทุนธุรกิจหน้าจอดิจิทัล และเริ่มขยายงาน ICT เฟสแรก สำหรับประเทศไทย นายเว่ยมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะโครงการระบบรางใหม่ ๆ โครงสร้างพื้นฐานเมือง และการเติบโตของ Digital Economy แม้จะมีความเสี่ยงเช่นกระบวนการสัมปทานหลายหน่วยงาน และความผันผวนด้านนโยบายภาครัฐ แต่บริษัทมีประสบการณ์กว่า 20 ปีในไทย และมีรายได้ Recurring ช่วยลดความเสี่ยงระยะยาว “ตลาดไทยมี Upside สูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค แม้จะไม่ง่าย แต่เรายังคงลงทุนต่อเนื่อง”

‘เว่ย แซม แลม’ ทรานส์ฟอร์ม ROCTEC จากบริษัทสื่อโฆษณา สู่ผู้นำ ICT ภูมิภาค

นายเว่ยสรุปว่า ROCTEC ไม่ใช่เพียงผู้ติดตั้งหน้าจอหรือผู้รับเหมาระบบ แต่เป็น “Solution Builder” ที่สร้างนวัตกรรม ICT สำหรับระบบขนส่ง เมืองอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้าน R&D และประสบการณ์จากฮ่องกงมาต่อยอดสู่ตลาดไทยและเวียดนาม

การมีพื้นฐานจากระบบขนส่งที่ต้องการมาตรฐานสูงสุด ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาด ICT ที่ซับซ้อน และขยายสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวได้อย่างมั่นคง เขาย้ำว่าเป้าหมายต่อจากนี้คือการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนทั้งในประเทศไทย ฮ่องกง และประเทศในอาเซียน