KEY
POINTS
ROCTEC ผู้พัฒนางานระบบจากฮ่องกง เร่งเดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ หลังประกาศเปลี่ยนบทบาทจากผู้ติดตั้งจอดิจิทัลสื่อโฆษณาในอดีต สู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน ICT แบบครบวงจรเต็มรูปแบบ (ICT Solutions Provider) โดยมีธุรกิจระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Transport Systems) เป็นฐานหลัก พร้อมขยายการลงทุนในไทยและภูมิภาคท่ามกลางโอกาสจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตต่อเนื่อง
นายเว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ROCTEC เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในวันนี้แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นบริษัทสื่อโฆษณาหรือผู้ติดตั้งจอ แต่ปัจจุบัน ROCTEC คือผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ ICT ที่มีความสามารถเชิงลึกในงานระบบขนส่ง ทั้งระบบราง สนามบิน ระบบควบคุม ระบบสื่อสาร และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินรถ ซึ่งล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Smart Mobility ในยุคใหม่
“เราทำ ICT ไม่ใช่แค่ติดตั้งจอ แต่เป็นผู้พัฒนาและบูรณาการโซลูชันที่มีมาตรฐานระดับระบบขนส่ง ซึ่งต้องรองรับความปลอดภัยสูงและมีความซับซ้อนมากกว่าอุตสาหกรรมทั่วไป”
ROCTEC มีต้นกำเนิดที่ฮ่องกงตั้งแต่ปี 1987 ก่อนพัฒนาสู่การเป็นผู้วางระบบ (System Integrator) ในงานระบบขนส่งระดับเมือง ทั้งรถไฟฟ้า สนามบิน และระบบสื่อสารของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ความเชี่ยวชาญดังกล่าวขยายมาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2004 ผ่านโครงการระบบสื่อสารและหน้าจอดิจิทัลของรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปักหมุดตลาดไทยอย่างเป็นทางการ
จากผู้นำเข้าหน้าจอและอุปกรณ์ด้านสื่อสาร ROCTEC ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ผู้ดูแลงานระบบภายในสถานี ทั้งระบบเครือข่าย ระบบไฟ ระบบควบคุม รวมถึงงานบำรุงรักษา ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญให้บริษัทสามารถขยับเข้าสู่ธุรกิจ ICT แบบเต็มตัวในเวลาต่อมา บริษัทเริ่มเข้าไปลงทุนใน “MACO” ตั้งแต่ปี 2018 ก่อนเดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ในปี 2023 ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา รายได้กว่า 85% มาจากธุรกิจ ICT และอีก 15% มาจากสัมปทานสื่อสตรีทเฟอร์นิเจอร์ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสจำนวน 22 สถานีที่ยังดำเนินไปจนถึงปี 2029 ซึ่ง ROCTEC ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ ขณะที่การขายสื่อบริหารโดยพันธมิตรอย่าง Plan B
นายเว่ยย้ำว่า ROCTEC ไม่ได้แข่งขันกับผู้ขายสื่อ เช่น VGI หรือ Plan B เพราะไม่ได้ขายพื้นที่โฆษณา แต่เป็น “ผู้สร้างระบบให้ผู้ขายสื่อใช้งาน” ลูกค้าของบริษัทคือผู้ให้บริการสื่อรายใหญ่ ซึ่งต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหน้าจอ ระบบเชื่อมต่อ และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความน่าเชื่อถือสูง ปัจจุบัน ROCTEC มีจอดิจิทัลติดตั้งทั่วประเทศกว่า 20,000 จอ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายงานติดตั้งที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยงานติดตั้งในพื้นที่สำคัญ เช่น สยามพารากอน หรือสถานีรถไฟฟ้า ต้องมีมาตรฐานสูงด้านความร้อน ความสั่นสะเทือน และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ บริษัทเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยี Sensor Sync มาใช้ในไทย เพื่อซิงก์ภาพโฆษณาบนชานชาลากับขบวนรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาร่วมกับทีมจากฮ่องกง ช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสื่อในระบบขนส่งไทย ในปัจจุบัน ธุรกิจ ICT เป็นหัวใจหลักของ ROCTEC โดยมีโครงสร้างรายได้แบบ “Recurring” จากงานบำรุงรักษาและงานอัปเกรดระบบอยู่ที่ 20–30% ช่วยให้รายได้ของบริษัทมีเสถียรภาพมากกว่าผู้รับเหมา ICT ที่รับงานติดตั้งและจบโครงการ
นายเว่ยอธิบายว่า งานระบบขนส่งมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ต้องผ่านการรับรองและทดสอบหลายขั้นตอน ทำให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาได้ยาก และเป็นจุดแข็งเชิงการแข่งขันของบริษัท ซึ่งมีทีมงานที่ผ่านประสบการณ์ระบบรางและงานสนามบินในฮ่องกงมามากกว่า 40 ปี หนึ่งในงานสำคัญของปีล่าสุดคือการได้รับสัญญาโครงการระบบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มูลค่าเฟสแรกประมาณ 1,500 ล้านบาท โดย ROCTEC รับงานประมาณ 30% ร่วมกับพันธมิตรอีกสองราย นับเป็นงานระบบขนส่งภาครัฐครั้งแรกในไทย และเป็น “ตั๋วผ่านประตู” ที่จะเปิดโอกาสสู่โครงการเฟสถัดไป เช่น รถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ที่ไทยเตรียมผลักดันในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า
“งานภาครัฐประเภทนี้แม้กำไรไม่สูง แต่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์ เพราะทำให้เราเข้าไปอยู่ในตลาดใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานไทยได้”
ข้อได้เปรียบสำคัญคือการมีทีม R&D ของบริษัทเองในฮ่องกงและไทย ซึ่งสามารถออกแบบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์สถานการณ์เฉพาะ ความสามารถด้าน R&D ช่วยให้บริษัทตอบสนองลูกค้าได้เร็วกว่า ลดค่าใช้จ่าย และมีโอกาสสร้างรายได้จากอัปเกรดเวอร์ชันในระยะยาว
ROCTEC ยังขยายไปสู่การพัฒนาโซลูชัน AI สำหรับเมืองอัจฉริยะ โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ เตรียมนำเสนอสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เช่น ระบบที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้พักอาศัย ปรับไฟ–อุณหภูมิอัตโนมัติ เชื่อมต่อบริการสั่งอาหาร หรือแนะนำคอนเทนต์สตรีมมิง ในส่วนสาธารณูปโภค บริษัทกำลังพัฒนาระบบ AI สำหรับสนามบิน อาคารขนาดใหญ่ และศูนย์คมนาคม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตในไทยและอาเซียน และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐบาลหลายประเทศ
ฮ่องกงยังคงเป็นฐานรายได้ใหญ่ที่สุดของ ROCTEC เนื่องจากนโยบายและงบประมาณรัฐมีเสถียรภาพ แต่บริษัทตั้งเป้าขยายในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่มีการร่วมทุนธุรกิจหน้าจอดิจิทัล และเริ่มขยายงาน ICT เฟสแรก สำหรับประเทศไทย นายเว่ยมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะโครงการระบบรางใหม่ ๆ โครงสร้างพื้นฐานเมือง และการเติบโตของ Digital Economy แม้จะมีความเสี่ยงเช่นกระบวนการสัมปทานหลายหน่วยงาน และความผันผวนด้านนโยบายภาครัฐ แต่บริษัทมีประสบการณ์กว่า 20 ปีในไทย และมีรายได้ Recurring ช่วยลดความเสี่ยงระยะยาว “ตลาดไทยมี Upside สูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค แม้จะไม่ง่าย แต่เรายังคงลงทุนต่อเนื่อง”
นายเว่ยสรุปว่า ROCTEC ไม่ใช่เพียงผู้ติดตั้งหน้าจอหรือผู้รับเหมาระบบ แต่เป็น “Solution Builder” ที่สร้างนวัตกรรม ICT สำหรับระบบขนส่ง เมืองอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้าน R&D และประสบการณ์จากฮ่องกงมาต่อยอดสู่ตลาดไทยและเวียดนาม
การมีพื้นฐานจากระบบขนส่งที่ต้องการมาตรฐานสูงสุด ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาด ICT ที่ซับซ้อน และขยายสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวได้อย่างมั่นคง เขาย้ำว่าเป้าหมายต่อจากนี้คือการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนทั้งในประเทศไทย ฮ่องกง และประเทศในอาเซียน