ผลประกอบการ SCG ไตรมาสแรก คว้ากำไร 14,914 ล้านบาท

29 เม.ย. 2564 | 05:53 น.

เอสซีจี หรือ ปูนซีเมนต์ไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2564 ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลก คว้ากำไร 14,914 ล้านบาท รุกตลาดด้วยนวัตกรรมสินค้าเคมีภัณฑ์-โซลูชันบ้าน-บรรจุภัณฑ์ครบวงจร

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 มีรายได้จากการขาย 122,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสำหรับงวด 14,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากทุกกลุ่มธุรกิจ

ผลประกอบการ SCG ไตรมาสแรก  คว้ากำไร 14,914 ล้านบาท  

โดยธุรกิจเคมิคอลส์มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสก่อน การเริ่มผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ เฟส 2 (MOC Debottleneck) และอุปสงค์ทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างดีขึ้นจากปัจจัยตามฤดูกาล ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้งมีการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) ในภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตยิ่งขึ้น และกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นร้อยละ 114 สาเหตุหลักจากธุรกิจเคมิคอลส์มีส่วนต่างราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 41,475 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution เช่น โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Solution) โซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart and Functional Solutions) คิดเป็นร้อยละ 13 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม

ผลประกอบการ SCG ไตรมาสแรก  คว้ากำไร 14,914 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ทั้งสิ้น 51,104 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของรายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีมูลค่า 800,932 ล้านบาท โดยร้อยละ 38 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์

มีรายได้จากการขาย 51,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงาน MOC ในไตรมาสก่อน และการเริ่มผลิตของโครงการ MOC Debottleneck ในไตรมาสนี้ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผลประกอบการ SCG ไตรมาสแรก  คว้ากำไร 14,914 ล้านบาท

โดยมีกำไรสำหรับงวด 8,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 397 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัทกรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด หรือ BST ที่เป็นผู้ผลิตน้ำยางสังเคราะห์ไนไตรล์รายเดียวในประเทศไทย เพื่อการผลิตถุงมือยางไนไตรล์สำหรับแพทย์

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

มีรายได้จากการขาย 46,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการสินค้าและบริการในภูมิภาคที่ลดลง และการซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชา โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยตามฤดูกาล

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง

มีรายได้จากการขาย 27,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในอาเซียน ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น การรุกขยายพอร์ตสินค้าบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค 

โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขอนามัย ฯลฯ การปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงกลยุทธ์ Merger & Partnership หรือ M&P ได้แก่ การเข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน Go-Pak UK Limited เพื่อขยายฐานตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารในภูมิภาคต่าง ๆ รองรับเมกะเทรนด์

“ผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เอสซีจีจึงเตรียมความพร้อมด้วยการปรับตัวให้มีความยืดหยุ่น (Resiliency) เช่น เพิ่มสัดส่วนการขายนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน " นายรุ่งโรจน์ กล่าว