นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ที่ปัญหารุมเร้าเช่นนี้และประชาชนจำนวนมากประสบปัญหาความยากลำบากทางเศรษฐกิจอย่างมาก จึงขอเสนอให้มีการใช้ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ ชดเชยรายได้ ชะลอการปิดกิจการรักษาการจ้างงาน ด้วยมาตรการผ่อนคลายทางการคลังและการเงินมากเป็นพิเศษควบคู่กัน โดยดำเนินการทุกๆด้านทุกๆมิติพร้อมๆกัน พร้อมทั้งรักษาธุรกิจต่างๆให้ดำเนินต่อไปได้โดยไม่ขาดสภาพคล่องหรือเกิดภาวะล้มละลายเลิกกิจการด้วยมาตรการการเงินพักชำระหนี้ สามารถรักษาระดับการจ้างงานต่อไปได้
สำหรับมาตรการประกอบไปด้วย 1.ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เหลือ 6% ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีก 1-2%
,2.เก็บภาษีทรัพย์สินชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
,3.ชดเชยรายได้ให้กับกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาทและได้รับผลกระทบไม่สามารถทำงานได้จากคำสั่งของรัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
,4.ออกพันธบัตรระยะยาว 20-30 ปีกู้เงินเพื่อลงทุนทางด้านการศึกษา การวิจัย การสร้างนวัตกรรม ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่และผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรม New S Curve ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร สร้างฐานอุตสาหกรรมที่ไทยพอมีศักยภาพขึ้นมาใหม่เพื่อชดเชยการจ้างงานที่หดตัวลงจากวิกฤติสุขภาพ covid และผลกระทบจาก Disruptive Technology
,5.ต้องยกระดับภาคเกษตรกรรมให้ผลิตสินค้ามูลค่าสูง แปรรูปเพิ่มมูลค่า ลงทุนระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
และ6.เร่งรัดในการออกกฎหมายเพื่อให้มีการพักการชำระหนี้สำหรับภาคท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง รวมทั้งธุรกิจที่เป็นหนี้เสียไม่สามารถชำระหนี้ได้จากผลกระทบของมาตรการของรัฐในการควบคุมการแพร่ระบาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :