"สธ."ยันไม่มีการแพร่ระบาด "โควิด" ใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก

11 ธ.ค. 2563 | 09:40 น.

"กระทรวงสาธารณสุข" ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วย "โควิด 19" กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 (Covid-19) ที่มาจาก จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถควบคุมได้ จากการตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ และการคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่รวมกว่า 7 พันคน ผลเป็นลบ มีการติดเชื้อเพียง 2 รายอยู่ในการดูแลรักษาแล้ว และผู้ติดเชื้อที่เคยพบใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ กทม. พะเยา พิจิตร ราชบุรี และสิงห์บุรี ได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าควบคุมและติดตามผู้สัมผัสได้รวดเร็ว ส่งผลให้ไม่มีการระบาดเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้  ถือว่ามีความปลอดภัยเท่ากับจังหวัดอื่น ดังนั้น ขอความร่วมมือภาคเอกชนทำความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องกักตัว ส่วนกรณีชายไทยลักลอบเดินทางเข้าประเทศทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางโดยรถตู้สายแม่สอด-มุกดาหาร ไป จ.นครพนม อาสาสมัครสาธารณะสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นผู้พบความผิดปกติ ทำให้ควบคุมบุคคลนี้ได้ เมื่อตรวจหาเชื้อผลเป็นลบ ไม่มีการติดเชื้อตามที่เป็นข่าว และติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการควบคุมโรค และติดตามผู้สัมผัส เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนและประชาชน เมื่อเราร่วมมือกันเช่นนี้ ประเทศจะปลอดภัย ประชาชนสามารถไปพักผ่อนท่องเที่ยวได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยอดโควิด 11 ธ.ค.63 ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 11 รายมาจากต่างประเทศ

เมียนมาสั่งล็อกดาวน์ 5 เมือง “ฮอตสปอตโควิด” ในรัฐฉาน  

สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐยังเข้าขั้นวิกฤต วันเดียวปลิดชีพผู้ป่วย 3,000 ราย
 

สำหรับช่วงวันหยุดยาว การจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ สามารถจัดได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่จังหวัดไหนที่มีการแพร่ระบาด เน้นขอความร่วมมือผู้จัดงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค มีจุดคัดกรองวัดไข้ ลงทะเบียนไทยชนะ จัดอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มีการแยกกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการปะปนมากเกินไป ส่วนบริเวณที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ห้องน้ำ ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ บริเวณขายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ค้าจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาและเว้นระยะห่าง หรือบริเวณหน้าเวทีระวังอย่าให้ใกล้ชิดจนแออัด

ด้านผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นช่วงรับประทาน ล้างมือ ลงทะเบียนไทยชนะ เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวแล้วมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้ไปสถานพยาบาลและแจ้งประวัติ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจตราร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้วย หากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งเตือน หากไม่ปรับปรุงจะปิดสถานที่ และขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้มีกิจกรรมช่วงเทศกาลอย่างมีความสุขทุกคน

นายแพทย์โอภาส กล่าวอีกว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พบการติดเชื้อจำนวน 108 คน แต่เมื่อรู้จักโรคนี้ดีขึ้น ทำให้ช่วงหลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาไม่พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้ออีกเลย กระทั่งมี 1 รายที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) และนำไปติดเพื่อนที่เป็นบุคลากรด้วยกัน

ซึ่งไม่ได้ติดจากการทำงาน เป็นการติดจากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน จึงต้องเคร่งครัดมาตรการใส่เครื่องป้องกัน ซักซ้อมการถอดใส่อุปกรณ์ตามมาตรฐานมากขึ้น ยังไม่ถึงขั้นต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลโดยไม่ออกมาภายนอก ขณะนี้ควรให้กำลังใจในการทำงาน
              นายแพทย์จักรรัฐ  พิทยาวงศ์อานนท์  ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด 19 ขณะนี้มีเพียง 6 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในโรงพยาบาลเอกชน 31 ราย ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม ผลเป็นลบ ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ผลเป็นลบ 30 ราย ติดเชื้อ 1 ราย คือผู้ป่วยรายที่ 6 โดยจะมีการตรวจเชื้อครั้งที่ 3 ต่อไป ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในหอพัก ห้องสัมภาษณ์งานโรงพยาบาลรัฐ และสมาชิกครอบครัว ให้ผลเป็นลบทั้งหมด ได้เก็บตัวอย่างแล้ว คาดว่าผลจะออกในวันที่ 12-13 ธันวาคม

ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 888 รายผลเป็นลบ ส่วนกรณีผู้ป่วยรายแรกที่มีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT และ BTS ช่วงเวลาสั้นๆ 10-15 นาที มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา และไม่มีการพูดคุย ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น การใส่หน้ากากขณะโดยสารรถขนส่งสาธารณะต่างๆ จะช่วยป้องกันตัวเองและลดความเสี่ยงลงได้

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจำวันที่ 11 ธันวาคม มีผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,180 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,718 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,192 ราย หายป่วยสะสม 3,903 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เมียนมา 3 ราย ซาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน ประเทศละ 2 ราย เกาหลีใต้ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และโปรตุเกส ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 8 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 6 ราย ติดเชื้อมีอาการ 5 ราย ส่วนใหญ่มีไข้ น้ำมูก ปวดศีรษะ และเจ็บคอ

ผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเมียนมา 3 ราย ซึ่งอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้หลังเดินทางกลับมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทำให้ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา รวมเป็น 49 ราย แบ่งเป็นลักลอบเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ 17 ราย เข้ามาอย่างถูกต้องและเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 30 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย กระจายในจ.เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 37 ราย พะเยา 1 ราย กทม. 3 ราย พิจิตร 1 ราย ราชบุรี 1 ราย และสิงห์บุรี 1 ราย

ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 70.7 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.76 แสนราย อาการหนัก 106,710 ราย คิดเป็น 0.2 เปอร์เซ็นต์ เสียชีวิตรวม 1.58 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย คิดเป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16 ล้านราย อินเดีย 9.79 ล้านราย บราซิล 6.78 ล้านราย รัสเซีย 2.56 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.33 ล้านราย ส่วนสถานการณ์ของทวีปเอเชียที่พบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมา โดยเฉพาะเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1,321 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 104,487 ราย และมาเลเซียมีผู้ป่วยรายใหม่ 2,234 ราย ผู้ป่วยสะสม 78,499 ราย จึงยังต้องเฝ้าระวังชายแดนอย่างเข้มข้น