"เราเที่ยวด้วยกัน" สิงคโปร์เปิดตัวโครงการหนุนท่องเที่ยวในประเทศ

23 ก.ค. 2563 | 00:11 น.

"เราเที่ยวด้วยกัน" สิงคโปร์เปิดตัวโครงการหนุนท่องเที่ยวในประเทศ หวังฟื้นโรงแรมและอุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง หลังทรุดจากโควิด-19

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างหลังโดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประเทศไทยมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ “ไทยเที่ยวไทย” หลังจากรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนชื่อแพ็คเกจที่จะใช้ในการลงทะเบียนใหม่ ด้วยการนำพ็คเกจ "เที่ยวปันสุข" และ "เราไปเที่ยวกัน" มารวมแพ็คเกจเดียว คือ "เราเที่ยวด้วยกัน" เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ในช่วง 4 เดือนนี้(กรกฎาคม ถึง ตุลาคม 2563) ล่าสุดประเทศสิงคโปร์ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เปิดตัวโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อฟื้นโรงแรมและอุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

นายคีธ ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของการท่องเที่ยวสิงคโปร์ เปิดตัวโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในสิงคโปร์เมื่อวานนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ หลังจากที่โรงแรมและอุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สิงคโปร์ ผุดแคมเปญ #TravelThrowback กระตุ้นการท่องเที่ยวอาเซียน

"เราเที่ยวด้วยกัน" 10 ขั้นตอน ได้ครบทุกสิทธิ์ "ส่วนลดโรงแรม-คูปอง- คืนเงินค่าตั๋วเครื่องบิน"

เล็งเปิด "เราเที่ยวด้วยกัน" เฟส2 ชงครม.สิงหาคมนี้

“กำลังใจ” อสม.-เจ้าหน้าที่รพ.สต. แพคเป๋ารอเที่ยวฟรี เปิดลงทะเบียน 25 ก.ค.นี้

นายตันหวังว่า ชาวสิงคโปร์จะใช้วันหยุดแบบ "Singapoliday" ในประเทศ โดยผู้ที่เข้าพักในโรงแรมจะได้รับส่วนลด ขณะที่โครงการดังกล่าวจะมีระยะเวลา 9 เดือน ซึ่งรัฐบาลจะใช้งบประมาณ 45 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการสนับสนุนโครงการดังกล่าว
         

นายตันกล่าวว่า "ชาวสิงคโปร์ใช้เงินมากกว่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศในปีที่แล้ว และในเมื่อพวกเขาไม่สามารถใช้จ่ายเงินในการท่องเที่ยวต่างประเทศในปีนี้ เราจึงหวังว่าพวกเขาจะใช้จ่ายเงินบางส่วนสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ"

นายตันเปิดเผยว่า ขณะนี้ ห้องพักในโรงแรมจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดราว 67,000 ห้องในสิงคโปร์ได้ถูกกันไว้สำหรับการกักตัวผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ สิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมมากกว่า 48,000 ราย โดยสูงเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์