เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

25 ม.ค. 2563 | 09:32 น.

“คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563” เป็นคำสั่งฉบับปฐมฤกษ์รับศักราชใหม่ ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี  สั่งให้ บิ๊กโจ๊ก - พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล “ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ”

 

นับเป็นคำสั่งที่สองจาก “บิ๊กตู่” ที่ออกคำสั่งตรงถึงบิ๊กโจ๊ก  เพราะก่อนหน้านี้ ใช้อำนาจ “คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562” ลงวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2562 สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ” 

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

หลังจากคำสั่งฉบับนั้น บิ๊กโจ๊กโลวโปรไฟล์ตัวเอง จากปกติเป็นนายตำรวจที่นักข่าวโทรหาสัมภาษณ์ขอข้อมูลเมื่อไรก็พร้อมทุกเมื่อ สไตล์ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่นักข่าวรู้กันดี กลายเป็นนายตำรวจที่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณอีกเลย นับตั้งแต่วันที่เข้ารายงานตัวต่อ “ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี” 

“บิ๊กโจ๊ก” กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อค่ำวันที่ 6 มกราคม 2563 เวลา 21.40น. ซึ่งถูกคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส สีขาว ย่านบางรัก โชคดีไม่มีใครอยู่ในรถ 

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

แต่คมกระสุนคืนนั้นไม่จบเพียงแค่นั้น แม้ปัจจุบันยังตามจับคนร้ายไม่ได้ แต่กลับนำไปสู่การแฉ และเดินสายให้ข้อมูลกับหน่วยงานตรวจสอบถึง ประเด็นความไม่ชอบมาพากลของโครงการ “การจัดซื้อครุภัณฑ์เทคโนโลยีตรวจอัตลักษณ์บุคคลไบโอเมทริกซ์” ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กำลังตรวจสอบ  

เป็นโครงการที่พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เป็นเจ้าโปรเจ็กต์ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าตัวยืนยันชนวนเหตุของการยิงมาจากการยกเลิกโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องไบโอเมทริกซ์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จนมีผู้เสียผลประโยชน์ และยังรู้ด้วยว่า “ใครเป็นคนสั่งการเบื้องหลัง”

ถัดจากนั้นไม่นาน ขณะที่สังคมถามหาว่าใครสั่งยิง ใครสั่งยกเลิกไบโอเมทริกซ์ เกิดมี “คลิปเสียงปริศนา” หลุดว่อนโลกโซเชียล  เป็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างสนทนาของผู้ชาย 2 คน เนื้อหาการสนทนาคล้ายกับเบรกใครบางคนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับคดียิงถล่มรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์  สะเทือนวงการสีกากี ลือสะพัดว่าเป็นคลิปการสนทนาระหว่างผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  

กระทั่งวันที่ 24 มค.ที่ผ่านมา กลับมีคำเฉลย หลัง “พลเอกประยุทธ์ ลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 22 / 2563  ให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ไปปฎิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลในคำสั่งว่า “พล.ต.อ.วีระชัย มีพฤติการณ์และการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม กระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบ้ติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย  สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา

จากนั้น พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่า เป็นผู้เสนอให้โยกย้าย พล.ต.อ.วิระชัย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี จากประเด็นการปล่อยคลิปเสียงสนทนา ระหว่างตนเองกับพล.ต.อ.วิระชัย เกี่ยวกับคดีบุกยิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ “เนื่องจากเป็นปัญหาต่อเอกภาพขององค์กร และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีมติเสนอโยกย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หากอยู่เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคปัญหา”

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

 

ข้อความระหว่างบรรทัดคำสั่งของพล.ต.อ.วิระชัย สัมผัสได้ถึงความผิดที่รุนแรง ไม่ต่างจากข้อความระหว่างบรรทัดให้ดีกับคำสั่ง 1/2563 ที่บรรยายความผิดของ “บิ๊กโจ๊ก” แม้จะมีเพียง 2 ข้อ แต่เป็น 2 ข้อ ที่ หนัก แรง ใช้ภาษาตรงไปตรงมา 

1.ไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ ไม่กระทำการอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ ไม่ดูหมิ่น เหยียดหยามประชาชน 

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

2 ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการ ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ “รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพ เรียบร้อย” รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ทั้งนี้ ให้ข้าราชการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ให้งดการมอบหมายงานพิเศษและสำคัญ และหากมีกรณีไม่รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป 

เดิมพันครั้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” 

นับเป็นคำสั่ง 2 ข้อ ที่รุนแรงแต่ไม่มีใครอธิบายเบื้องหลังได้ว่า ช่วงหลังจากถูกคนร้ายลอบยิงรถ 6 ม.ค. 63 จนถึงก่อน 24 ม.ค. 63 นั้น “บิ๊กโจ๊ก” ไปทำอะไรมาจึงเข้าข่ายความผิด 2 ข้อนี้ 

แต่คนวงการสีกากีอ่านสัญญาณจากคำสั่งฉบับล่าสุดแล้วรู้ดีว่า นี่อาจจะเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายของ "บิ๊กโจ๊ก"