ประกาศแล้ว! นางแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง จัดแถลงข่าววันนี้ (4 ต.ค.) โดยได้ประกาศใช้อำนาจฉุกเฉินออกกฎหมายห้ามสวมหน้ากากในกลุ่มผู้ประท้วงอย่างเป็นทางการหลังจากที่สื่อได้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นการออกกฎหมายฉุกเฉินครั้งแรกนับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 2540
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในการประท้วงช่วงสุดสัปดาห์นี้ เนื่องจากผู้ประท้วงได้เรียกร้องให้ชาวฮ่องกงออกมาแสดงพลังต่อต้านกฎหมายดังกล่าว โดยหน้ากากถือเป็นเครื่องป้องกันใบหน้าของผู้ประท้วงที่กลัวรัฐบาลออกหมายจับหากสามารถระบุตัวตนของผู้ประท้วงได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนเคยกดดันให้สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก สั่งปลดพนักงานที่ออกมาร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาลฮ่องกงมาแล้ว
เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ สื่อใหญ่ของฮ่องกงรายงานว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎดังกล่าวจะต้องถูกจำคุกอย่างน้อย 1 ปี หรือเสียค่าปรับราว 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (3,190 ดอลลาร์สหรัฐฯ) การออกกฎหมายฉุกเฉินครั้งนี้ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 2540
นางคลาวเดีย โม สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง ออกมาแสดงความเห็นว่า เธอกลัวกระแสตีกลับที่จะตามมาหลังรัฐบาลประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉิน เพราะมีกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวมากมายที่ประกาศกร้าวว่าพวกเขาพร้อมที่จะตายเพื่อการประท้วง และพวกเขาก็ยังจะเดินหน้าชุมนุมต่อไปภายใต้หน้ากาก แม้รู้ว่าการกระทำดังำกล่าวจะทำให้ถูกตำรวจจับ และอาจเกิดการปะทะขึ้นมาได้
ประชาชนจำนวนหนึ่งมองว่าการออกกฎหมายฉุกเฉินห้ามผู้ชุมนุมสวมหน้ากากสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลช่างไร้น้ำยาในการดก้ไขปัญหาและไม่เคยรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน พวกเขามองว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลครั้งนี้ มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ทั้งนี้ กฎหมายห้ามผู้ชุมนุมใส่หน้ากากจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันนี้ (4 ต.ค.) เป็นต้นไป และใช้กับการชุมนุมทุกรูปแบบ
การใช้อำนาจฉุกเฉินของผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า Emergency Regulations Ordinance ซึ่งเป็นอำนาจที่มีมาตั้งแต่ยุคฮ่องกงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เปิดช่องทางแก่ผู้บริหารสูงสุดในการออกกฎหมายฉุกเฉินโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติ และการใช้อำนาจดังกล่าวของนางแคร์รี แลม ในครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ในฮ่องกงขณะนี้มาถึงจุดที่รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และจำเป็นต้องจำกัดเสรีภาพบางอย่างของพลเรือน เพื่อที่รัฐบาลและฝ่ายตำรวจจะสามารถนำความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา แต่การตัดสินใจครั้งนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณให้ประชาคมโลกได้รับรู้เช่นกันว่า ฮ่องกงไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว