หนี้ครัวเรือนไตรมาส 2ทรงตัว

01 ต.ค. 2562 | 11:38 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนในไตรมาสที่ 2/2562 เติบโตในอัตราที่ชะลอลงมาที่ 5.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน   หลังจากที่เร่งตัวขึ้นถึง 6.3%  ในไตรมาสที่ 1/2562 (สูงสุดในรอบ 4 ปี) ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการชะลอตัวลงของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหลังเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือเกณฑ์ LTV เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา โดยเงินให้กู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลของสถาบันการเงิน (ทั้งในส่วนที่ปล่อยผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินอื่นๆ) ชะลอการเติบโตลงมาที่ 6.8% YoY ไตรมาสที่ 2/2562 จากที่เร่งตัวขึ้นก่อนเกณฑ์ LTV ถึง 8.0% YoY  ในไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา
    อย่างไรก็ดี สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล และต้องการการร่วมดูแลแก้ไขจากหลายฝ่าย โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ที่ 78.7% ในไตรมาส 2/2562 เท่ากับไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา 

ที่น่าสังเกตว่า หากเปรียบเทียบการเติบโตของหนี้ครัวเรือนกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว จะพบว่า หนี้ครัวเรือนมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องตลอด 1 ปีที่ผ่านมา (ในช่วงระหว่างไตรมาส 3/2561 ถึง ไตรมาสที่ 2/2562) โดยหนี้ครัวเรือนเติบโตที่ระดับประมาณ 6.0% โดยเฉลี่ยต่อไตรมาส ขณะที่ Nominal GDP ของไทย มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อไตรมาสที่ประมาณ 4.5% 
    สภาวะหนี้ที่เติบโตเร็วกกว่าการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาจเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า  ประเด็นสำคัญของหนี้ครัวเรือนในเวลานี้ ก็คือ ความสามารถในการชำระคืนหนี้ ในยามที่ระดับรายได้ของครัวเรือนและทิศทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงชะลอตัว แม้ว่าที่ผ่านมา ภาระดอกเบี้ยจ่ายของสินเชื่อบางส่วน ได้ปรับตัวลงมาตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยของสถาบันการเงินแล้วก็ตาม 

สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในปี 2562 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับทบทวนกรอบประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี 2562 ขึ้นมาที่ 78.5-79.5% (จากกรอบคาดการณ์เดิมที่ 77.5-79.5% ต่อจีดีพี) เนื่องจากข้อจำกัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะที่เหลือของปี 
    อย่างไรก็ดี ประเมินว่า มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และมาตรการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน ที่ ธปท. ทยอยประกาศใช้และเตรียมที่จะดำเนินการเพิ่มเติม น่าจะมีส่วนช่วยจำกัดความเสี่ยงเชิงระบบของระบบการเงินไทย ขณะที่การวางแนวทางให้สถาบันการเงินพิจารณาสินเชื่อรายย่อย โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และสถานะทางการเงินหลังผ่อนชำระหนี้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ก็น่าจะช่วยลดปัญหาการก่อหนี้เกินตัวด้วยอีกทางหนึ่ง