สงครามการค้าเดือดทะลุปรอท! สหรัฐฯ-จีนสาดภาษีระลอกใหม่กว่า 6 แสนล้านดอลล์

23 ส.ค. 2562 | 22:50 น.

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนพุ่งทะลุองศาเดือดระลอกใหม่ล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์นี้ (23 ส.ค.2562) เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลั่นผ่านทวิตเตอร์ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนครอบคลุมแทบจะทุกรายการ โดยสินค้าที่เดิมเก็บภาษี 25% จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% กลุ่มนี้รวมวงเงิน  250,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ศึกการค้าครั้งนี้ มีแต่เดินหน้าสู่จุดเดือด
 

ส่วนอีกกลุ่มสินค้าวงเงิน 300,000 ล้านดอลลาร์ ที่เดิมจะเก็บภาษี 10% เริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ ก็ให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 15% ถือเป็นการจัดหนักมาตรการภาษีให้กับสินค้าจีนอย่างเต็มอัตราศึกเพื่อเป็นการตอบโต้การที่รัฐบาลจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯครั้งใหม่ล่าสุดวงเงินถึง 75,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯระบุในทวิตเตอร์ที่เขาโพสต์อย่างรัวๆเป็นชุดว่า รัฐบาลชุดก่อนๆของสหรัฐฯปล่อยให้จีนทำการค้าแบบเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม สร้างภาระให้กับประชาชนชาวอเมริกันที่เป็นผู้เสียภาษี แต่เขาในฐานะประธานาธิบดีจะไม่ทนให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว


 

ดาวโจนส์ดำดิ่งกว่า 600 จุดรับข่าวร้าย

ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังทวิตด้วยว่าเขาขอออกคำสั่งให้บริษัทอเมริกันมองหาทางเลือกอื่นนอกจากตลาดจีนได้แล้วในตอนนี้ ซึ่งรวมถึงการถอนการลงทุนจากจีนกลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐอเมริกา ท่าทีดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีหุ้นหลักๆของสหรัฐฯร่วงกราวมากกว่า 2% (เมื่อวันที่ 23 ส.ค.เวลาท้องถิ่น) โดยเฉพาะหุ้นบริษัทอเมริกันในจีนที่ถูกประธานาธิบดีเรียกร้องให้ถอนยวงการลงทุนออกมา  ดัชนีดาวโจนส์ดำดิ่ง 623.34 จุด มาปิดที่  25,628.90 จุด ฉุดให้ค่าเฉลี่ยของดาวโจนส์ในเดือนสิงหาคมหล่นลงมา 4% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่ง 2.6% มาอยู่ที่ 2,847.11 จุด และดัชนีนาสแดค คอมโพสิต ดิ่งลง 3% ลงมาอยู่ที่ 7,751.77 จุด  รายงานข่าวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯได้เรียกประชุมทีมนโยบายการค้าที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (23 ส.ค.) ก่อนที่จะออกมาประกาศกร้าวขึ้นภาษีสินค้าจีนซึ่งถือเป็นการจุดชนวนระบิดทางการค้าลูกใหม่ ที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯแต่เชื่อว่าจะส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

 

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกันนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพิ่งสร้างความมั่นใจในเชิงบวกให้กับตลาดโดยเขากล่าวในงานประชุมประจำปีธนาคารกลางในเมืองแจ๊คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ว่า เฟดจะดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนตามความจำเป็นเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเอาไว้ต่อไป เพราะตอนนี้แม้จะมีสงครามการค้าที่เป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯก็ยังคงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง  แต่ดูเหมือนความไม่พอใจของผู้นำสหรัฐฯที่มีต่อการทำงานของนายพาวเวลล์จะยิ่งดุเดือดมากขึ้นและเป็นที่เปิดเผยชัดเจน เมื่อเขาทวิตเป็นเชิงกระทู้ถามว่า ระหว่างนายพาวเวลล์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนนั้น ใครกันแน่ที่เป็น ศัตรูต่อสหรัฐฯมากกว่ากัน