เอสซี แอสเสท โตไม่แคร์เพื่อน

คอลัมน์ผ่ามุมคิด

เอสซี แอสเสท ขยับพอร์ตลงทุน ขยายตัวต่อเนื่อง หลังจัดทัพหลังบ้าน สนองตอบความต้องการของตลาดที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เซตทีมทำงานทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน เพื่อปรับตัวสร้างโซลูชันใหม่ๆ มั่นใจสิ้นปีสร้างรายได้เข้าเป้า 1.9 หมื่นล้าน

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจไว้ 3 เรื่องหลัก คือ กำไรเติบโต คุณภาพ และ นวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดยการพัฒนาสินค้าคุณภาพ และส่งมอบ Living Solutions เพื่อเช้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคน

เอสซี แอสเสท ได้เริ่มปรับเปลี่ยนองค์กรเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังจากการปรับเปลี่ยนองค์กร ด้วย 4 C เพื่อกระตุ้นให้พนักงานสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ผ่าน Care การใส่ใจลูกค้า Courage ทีมต้องกล้าคิดกล้าตัดสินใจ ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ Collaboration ต้องมีการทำงานร่วมกัน ทั้งกับภายในองค์กรและนอกองค์กร เป็นการ Co-Creation เพื่อให้ได้โซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด และ Continuous Improvement ไม่หยุดพัฒนา ไม่หยุดเรียนรู้ เพราะลูกค้าเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

วิธีการของเอสซี แอสเสท ยุคใหม่ คือ มีความยืดหยุ่นในการทำงาน ซีอีโอ ยํ้าว่า การทำงาน จะมีทั้งการกระจายอำนาจ และการทำงานเป็นศูนย์กลาง แล้วแต่กรณี ซึ่งจะมีการทบทวนตลอดเวลา ไม่มีสูตรสำเร็จ บางเรื่องต้องแบบนี้ บางเรื่องต้องแบบนี้ บางชาร์ตจะมีการรื้อการปรับทุกปี บางเรื่องปรับทุก 3 ปี นอกจากนี้ ยังใช้เครื่องมือ Objectives and key results (OKR) หรือ วิธีการตั้งเป้าหมายของแต่ละบุคคลในองค์กร ให้มีเป้าหมายที่สอดคล้องกันทั้งองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก (objectives) ซึ่งเป็นการบอกจุดมุ่งหมายขององค์กรในระดับต่างๆ และมีผลลัพธ์หลัก (Key results) คือ วิธีการทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยกำหนดค่าความสำเร็จ

“ผมมองว่า OKR ประโยชน์คือ การเซต Goal โลกเก่ามันคือ เคพีไอ แต่อันนี้ตั้งเป้าหมาย ถ้าเป็นเคพีไอ หรือบาลานซ์สกอร์การ์ด มันจะปรับปีหนึ่งได้ไม่กี่ครั้ง เพราะมันไปผูกกับโบนัส อินเซ็นทีฟ แต่ OKR คือ ยืดหยุ่นกว่า เปลี่ยนได้ทุกไตรมาส เปลี่ยนได้ทุกเดือน และไม่ผูกกับผลประโยชน์โดยตรง มีผูกแค่บางส่วน OKR ตั้ง Goal หลักขององค์กร แต่วิธีการ คือ ดาวน์ ไปท็อป” นายณัฐพงศ์กล่าวและยํ้าว่า ไม่เชื่อเรื่องของขั้นตอน (Process) ที่ต้องเป๊ะตลอดเวลา ทุกอย่างต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ

การทำงานมีการเซตเป็น 2 ทีม ทีม 1 คือ ทีมดีไซน์ใหม่ ที่ทำงานร่วมกับทีมปัจจุบัน อีกทีมเคลื่อนเร็ว ขยับเร็ว อันนี้คือทีมขับเคลื่อนเพื่ออนาคต โดยทั้งหมดต้องทำงานร่วมกัน ตัวโปรดักต์จะมีการลองผิดลองถูก มีการสร้างเป็นแพลตฟอร์มการทำงาน เรียกว่า “รู้ใจ” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยโซลูชันที่แตกต่างกันไป เอสซี แอสเสทจะนำแต่ละเรื่องเข้ามาปลั๊กอินกับแพลตฟอร์มรู้ใจ

จากผลของการปรับเปลี่ยนและการทำงานที่ผ่านมา ทำให้เอสซี แอสเสท ได้โปรดักต์ที่หลากหลายมากขึ้น บริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น โซลูชัน ดาต้าเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าเข้ามาเยอะมาก ทำให้การทำงานมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และขณะนี้กำลังเตรียมออกโซลูชันใหม่ที่จะบริการลูกค้า คือ เรื่องของการรีไฟแนนซ์ โดยปัจจุบันมีลูกบ้านที่เข้ามาเป็นสมาชิกของรู้ใจแล้วประมาณ 40% จากประมาณ 2 หมื่นครัวเรือนที่เป็นลูกบ้านของบริษัท และปีนี้ บริษัทตั้งเป้าผู้ใช้บริการประมาณ 1 หมื่นครัวเรือน ส่วนความสมบูรณ์ของแอพลิเคชันขณะนี้ประมาณ 90% สำหรับเรื่องของอินฟราสตรัคเจอร์ ส่วนโซลูชันใหม่ๆ สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของลูกค้า หากมีเพิ่มก็สามารถนำมาปลั๊กอินเข้าได้เลย ส่วนอันไหนที่ไม่เวิร์กก็สามารถเอาออกได้

นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมของเอสซี แอสเสทในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำรายได้กว่า 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมต่อเนื่อง จนในปีนี้ มีเป้ารายได้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท ถือว่าเติบโตเป็น 2 เท่าครึ่งจากเมื่อ 8 ปีที่แล้ว สิ่งที่ปรับเปลี่ยนหลักๆ เริ่มตั้งแต่การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงขึ้น เมื่อแบรนด์แข็งแรงรายได้ของบริษัทก็เพิ่มมาถึงหลักหมื่นล้านต้นๆ การเปลี่ยนแปลง ครั้งที่ 2 คือเมื่อประมาณปี 2015 คือ การปลดล็อกตัวเอง การขยายตลาด ขยายเซ็กเมนต์ ขยับลงมากลุ่มที่แมสขึ้น ออก 5 โปรดักต์ใหม่

สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 3 นี้ เป็นการค้นคิดสิ่งใหม่ๆ (reinvention) สร้างให้เป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ลูกค้าใหม่ที่สุด (Living Solution) ซึ่งเปลี่ยนทั้งคน ขั้นตอนการทำงาน และโปรดักต์

ส่วนในแง่ของการลงทุนที่ดิน ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง แต่แลนด์แบงก์ของเอสซี แอสเสท จะไม่เน้นการซื้อเก็บไว้นาน จะซื้อไว้แล้วพัฒนาเป็นโปรดักต์ภายใน 1-3 ปี โดยวันนี้คอนเซ็ปต์ของเอสซี แอส เเสทคือ กระจายไปทุกทำเล ทุกโซนในกรุงเทพฯที่มี 6 โซน โดยตั้งเป้าโครงการแนวราบประมาณ 1 หมื่นล้านบาทจากเป้า 1.9 หมื่นล้านบาท และมีไปลงทุนที่ี่อีอีซี เช่น ฉะเชิงเทรา เปิดแล้ว 2 โครงการเมื่อช่วงต้นปีทำยอดขายได้ดีมาก และมีโอกาสจะขยายเพิ่ม โดยพิจารณาจากภาพรวมของตลาด ถ้าภาครัฐทำให้อีอีซีเกิดจริง ตลาดมันใหญ่ขึ้น ขณะนี้มูลค่าที่ดินย่านอีอีซีเติบโตปีละ 30% เลยทีเดียว

หน้า 25-26 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,498 วันที่ 22-24 สิงหาคม 2562