ยอดใช้สิทธิ FTA และ GSP ปี 61 ทะลุเป้าเกือบ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

18 ก.พ. 2562 | 08:19 น.
ยอดใช้สิทธิ FTA และ GSP ปี 61 ทะลุเป้าเกือบ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งเป้าการใช้สิทธิ ปี 62 โตไม่น้อยกว่า 9%

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวถึงการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ตลอดทั้งปี 2561  ว่า มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯทั้งสองความตกลง รวมอยู่ที่ 74,335 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 76.95% ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 14.76% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 69,602 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,733 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

78FTA

โดยตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน มูลค่า 26,890ล้านเหรียญสหรัฐฯ , จีน มูลค่า 17,633 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ,ออสเตรเลีย มูลค่า 9,121 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มูลค่า 7,565 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และอินเดีย มูลค่า 4,466 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่าตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 37.36% รองลงมาคือ จีน ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 24.74% และอินเดีย มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 21.35% ซึ่งทั้ง 3 ตลาดดังกล่าวนอกจากจะมีอัตราการขยายตัวสูงแล้วยังพบว่ามีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงเช่นเดียวกัน สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลี 98.85% อาเซียน-จีน 88.57% ไทย-ญี่ปุ่น 88.47% อาเซียน-เกาหลี 87.19% และไทย-เปรู 85.97% รายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ตู้เย็น น้ำตาลจากอ้อย และทุเรียน

79FTA

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP ที่ไทยยังคงได้รับสิทธิ GSP 5 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราชนอร์เวย์ และญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือประมาณ 90% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด อยู่ที่ 4,248 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง เครื่องดื่มอื่นๆ และเลนส์แว่นตา

ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการใช้สิทธิ GSP ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้ คือการให้สิทธิ GSP ของญี่ปุ่น จะหมดอายุลงตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 เป็นต้นไป ตามเงื่อนไขใหม่ของศุลกากรญี่ปุ่นที่กำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงเป็นเวลา 3 ปี จะไม่ได้รับสิทธิ GSP ทุกรายการ ซึ่งกรมฯ ได้แจ้งผู้ประกอบการเป็นระยะเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2559 โดยการตัดสิทธิ GSP ของญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อไทยน้อยมาก เนื่องจากรายการสินค้าเกือบทั้งหมดที่ใช้สิทธิ GSP ญี่ปุ่น สามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ทดแทนได้

“ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ตลอดทั้งปี 2561 มีอัตรา ขยายตัวเพิ่มขึ้น 14% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กรมฯ ประมาณการไว้ที่ 9% หรือคิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่มีการขยายตัวไปในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และการพัฒนาระบบการให้บริการของกรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในปี 2562 ทิศทางการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มต้องเผชิญกับผลกระทบของสงครามการค้า การผันผวนของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของหลายประเทศ โดยเป้าหมายการส่งออกในปี 2562 น่าจะขยายตัวที่ 8% หรือคิดเป็นมูลค่า 272,685 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเบื้องต้นกรมฯ จึงได้ประมาณการเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ของปี 2562 ที่ 9% มูลค่า 8,1025 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว