ยอดใช้สิทธิ "FTA - GSP" 10 เดือน โตเฉียด 9% มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พุ่ง 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

14 ธ.ค. 2561 | 09:18 น.
ยอดใช้สิทธิ FTA และ GSP 10 เดือน โตเฉียด 9% มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พุ่ง 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มั่นใจตลอดทั้งปีสูงกว่าเป้า ทะลุ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) โดยในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค. - ต.ค. 61) ว่า มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 62,418 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 75% ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 8.98% โดยแบ่งเป็น มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 58,391 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,026 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

[caption id="attachment_361358" align="aligncenter" width="503"] อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดุลย์ โชตินิสากรณ์[/caption]

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยได้จัดทำความตกลง FTA ทั้งสิ้น 12 ฉบับ และมีการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 58,391 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 76.40% ของมูลค่าการส่งออกรวมภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไปยังประเทศคู่ภาคีความตกลง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 8.82% โดยตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน มูลค่า 22,409ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, จีน มูลค่า 14,708 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย มูลค่า 7,837 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น มูลค่า 6,338 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอินเดีย มูลค่า 3,719 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


FTA1

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่า ตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 58.62% รองลงมา คือ อินเดีย 23% และเกาหลี ขยายตัว 22% ซึ่งทั้ง 3 ตลาด นอกจากจะมีอัตราการขยายตัวสูงแล้ว ยังพบว่า มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงเช่นเดียวกัน สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลี 103%, ไทย-ญี่ปุ่น 92%, ไทย-เปรู 90%, ไทย-ออสเตรเลีย 90% และอาเซียน-จีน 89% และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียน น้ำตาลจากอ้อย และน้ำมันปิโตรเลียม


FTA2

โดยในปี 2562 คาดว่าจะมีความตกลงการค้าเสรีที่มีผลบังคับใช้เพิ่มเติมอีก 1 ฉบับ คือ อาเซียน-ฮ่องกง (AHKFTA) ซึ่งได้ข้อสรุปในการเจรจารอบสุดท้ายเมื่อเดือน ก.ค. 2560 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการภายในของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อให้มีผลบังคับใช้ โดยความตกลงฯ ดังกล่าว ถือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ส่งออกไทยที่สนใจจะใช้เป็นช่องทางให้สินค้าไทยเจาะตลาดจีนและตลาดอื่น ๆ โดยใช้ฮ่องกงเป็นประตู (Gateway) ด้านการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงไทยไปสู่ตลาดใหญ่อย่างจีนและตลาดในภูมิภาคอื่นทั่วโลก เนื่องจากฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ของจีน และได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากจีน ภายใต้ความตกลงทางการค้ากับจีน รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการเงิน การค้า และโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ยังมี FTA ใหม่ ๆ ที่น่าติดตาม ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดการเจรจาและคาดว่าจะมีการเจรจาที่มีความคืบหน้าอย่างมากในปีหน้า ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ศรีลังกา และความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ เป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ และ FTA จะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกให้แก่สินค้าไทย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นประตูสู่การค้าและการลงทุนเชื่อมโยงไปภูมิภาคขนาดใหญ่ คือ เอเชียใต้และสหภาพยุโรป

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP โดยในปัจจุบันไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP 5 ระบบ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราชนอร์เวย์ และญี่ปุ่น โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค. - ต.ค.) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP เท่ากับ 4,026 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราการใช้สิทธิ 59.38% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ขยายตัว 11.36% โดยการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือ ประมาณ 90% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด ซึ่งในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3,606 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิ 68.72% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 5,248 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 3.86% สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มอื่น ๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง และรถจักรยานยนต์

"ยังคงต้องจับตามองการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2561 ซึ่งมีแนวโน้มต้องเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ความผันผวนของนโยบายการค้า และประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ยังไม่มีความชัดเจนและอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเชื่อมั่นทางการค้าและการลงทุน แต่กรมฯ เชื่อมั่นว่า สินค้าไทยยังมีโอกาสส่งออกไปตลาดจีน รวมถึงตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพได้มากขึ้น ทำให้คาดว่า มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย โดยตลอดปี 2561 ได้ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ไว้ที่ 9% คิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็น 88.2% ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ โดยเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่มีการกระจายตัวในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งการปรับปรุงระบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงมั่นใจว่า มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

595959859