Play
วอลล์สตรีทกางแผน5ปี สู่‘ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์’
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
เปิดแผนลงทุน 5 ปี “วอลล์สตรีทอิงลิช” ผนึกพาร์ตเนอร์สยายปีกเพิ่ม 20 แห่ง เล็งรีเฟรชแบรนด์ สู่ “English Learning and Lifestyle Center” หวังสร้างการเข้าถึงลูกค้าเพิ่ม วางเป้าสิ้นปีเติบโต 40%
นายโอฬาร พิรินทรางกูร ประธานบริหาร วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีแผนรีเฟรชแบรนด์ “วอลล์สตรีทอิงลิช” ในประ เทศไทยในครึ่งปีหลังนับจากนี้ เพื่อให้แบรนด์มีความสดใหม่ ทันสมัย พรีเมียม และมี ความเป็น“English Learning and Lifestyle Center” เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยจะเริ่มนำร่องใน 2-3 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ก่อนขยายเพิ่มเติมสู่สาขารูปแบบใหม่ในอนาคต โดยวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีจะสามารถปรับรูปแบบสาขาใหม่ได้ครบทั้ง 13 แห่ง โดยคาดว่าแต่ละแห่งจะใช้งบหลัก 10 ล้านบาท
“การเปิดให้บริการในประเทศไทยกว่า 15 ปี เป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้สดใหม่ มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการรองรับเทรนด์ของผู้เรียนในปัจจุบันที่ต้องการความเป็นไลฟ์สไตล์และรูปแบบการเรียนที่แตกต่างจากในอดีต ขณะเดียวกันยังเป็น การรองรับธุรกิจสถาบันสอนภาษาที่มีผู้เล่นมากขึ้นทั้งรายเล็กและรายใหญ่”
สำหรับแผนงานช่วง 5 ปีนับจากนี้บริษัทวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง มีขนาดตั้งแต่ 100-400 ตร.ม.ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งรูปแบบการขยายสาขานับจากนี้จะมี 2 โมเดล ได้แก่รูปแบบลงทุนเอง และรูปแบบแฟรนไชส์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุนและงบประมาณการลงทุนที่เหมาะสมและมีกลุ่มนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ทยอยเข้ามาเจรจาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งนักธุรกิจในกลุ่มรีเทลและกลุ่มบริษัทที่ลงทุนเรื่องการศึกษาโดยตรง โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในเร็วๆนี้ขณะที่ในปีนี้ได้ขยายสาขาไปแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้าเมญ่า จ.เชียงใหม่ และเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 ส่งผลให้ปัจจุบันทางสถาบันมีจำนวนสาขาอยู่ทั้งสิ้น 13 แห่ง
ขณะเดียวกันยังได้เปิดตัวโมเดลใหม่ ด้วยการจำลองห้องเรียนจริงมาไว้ที่บูธประชาสัมพันธ์ ซึ่งนำร่องไปแล้ว 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต เพื่อให้คนที่สนใจได้เห็นบรรยากาศการเรียนเสมือนจริง และได้สัมผัสวิธีการเรียนที่ทันสมัยด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ น้องชานนท์ ที่มีภาพลักษณ์สดใสออกมาสร้างการรับรู้เพิ่มเติมอีกด้วย
“การเรียนภาษาอังกฤษจะสัมฤทธิผลมากที่สุดคือการที่ผู้เรียนได้เรียนผ่านประสบการณ์ของตนเองซึ่งหลังจากทดลองแนวคิดนี้ เพียงเดือนเศษมีผู้สนใจมากยิ่งขึ้น เดินเข้าบูธเพื่อมาสอบถามข้อมูลและตัดสินใจสำหรับการลงเรียนในโปรแกรมต่างๆ มากขึ้นด้วย โดยแผนงานนับจากนี้ยังมีไอเดียในเรื่องการเปิดโลกประสบ การณ์ดิจิตอลที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการเรียนสำหรับผู้ที่ตัดสินใจเรียนกับทางสถาบันด้วยการพัฒนาโปรแกรม MyStudy ซึ่งเป็นโปรแกรมติดตามการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา สามารถจองคลาสเรียน เช็กตารางเรียน ดูประวัติการเรียนของตนเองผ่านระบบมือถือ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่คนรุ่นใหม่”
อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไว้ราว 40% หรือมีรายได้ 600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาสถาบันมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 20% และมีรายได้เติบโตกว่า 40% โดยปัจจุบันทางสถาบันมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นราย แบ่งเป็นนักเรียนในกลุ่มอายุ 15-22 ปี สัดส่วน 41% กลุ่มอายุ 23-28 ปี สัดส่วน 31% และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 29 ปีขึ้นไป สัดส่วน 28%
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3367 ระหว่างวันที่ 20-23 พ.ค.61
นายโอฬาร พิรินทรางกูร ประธานบริหาร วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีแผนรีเฟรชแบรนด์ “วอลล์สตรีทอิงลิช” ในประ เทศไทยในครึ่งปีหลังนับจากนี้ เพื่อให้แบรนด์มีความสดใหม่ ทันสมัย พรีเมียม และมี ความเป็น“English Learning and Lifestyle Center” เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยจะเริ่มนำร่องใน 2-3 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ก่อนขยายเพิ่มเติมสู่สาขารูปแบบใหม่ในอนาคต โดยวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีจะสามารถปรับรูปแบบสาขาใหม่ได้ครบทั้ง 13 แห่ง โดยคาดว่าแต่ละแห่งจะใช้งบหลัก 10 ล้านบาท
“การเปิดให้บริการในประเทศไทยกว่า 15 ปี เป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้สดใหม่ มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการรองรับเทรนด์ของผู้เรียนในปัจจุบันที่ต้องการความเป็นไลฟ์สไตล์และรูปแบบการเรียนที่แตกต่างจากในอดีต ขณะเดียวกันยังเป็น การรองรับธุรกิจสถาบันสอนภาษาที่มีผู้เล่นมากขึ้นทั้งรายเล็กและรายใหญ่”
สำหรับแผนงานช่วง 5 ปีนับจากนี้บริษัทวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง มีขนาดตั้งแต่ 100-400 ตร.ม.ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งรูปแบบการขยายสาขานับจากนี้จะมี 2 โมเดล ได้แก่รูปแบบลงทุนเอง และรูปแบบแฟรนไชส์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุนและงบประมาณการลงทุนที่เหมาะสมและมีกลุ่มนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ทยอยเข้ามาเจรจาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งนักธุรกิจในกลุ่มรีเทลและกลุ่มบริษัทที่ลงทุนเรื่องการศึกษาโดยตรง โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในเร็วๆนี้ขณะที่ในปีนี้ได้ขยายสาขาไปแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้าเมญ่า จ.เชียงใหม่ และเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 ส่งผลให้ปัจจุบันทางสถาบันมีจำนวนสาขาอยู่ทั้งสิ้น 13 แห่ง
ขณะเดียวกันยังได้เปิดตัวโมเดลใหม่ ด้วยการจำลองห้องเรียนจริงมาไว้ที่บูธประชาสัมพันธ์ ซึ่งนำร่องไปแล้ว 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต เพื่อให้คนที่สนใจได้เห็นบรรยากาศการเรียนเสมือนจริง และได้สัมผัสวิธีการเรียนที่ทันสมัยด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ น้องชานนท์ ที่มีภาพลักษณ์สดใสออกมาสร้างการรับรู้เพิ่มเติมอีกด้วย
“การเรียนภาษาอังกฤษจะสัมฤทธิผลมากที่สุดคือการที่ผู้เรียนได้เรียนผ่านประสบการณ์ของตนเองซึ่งหลังจากทดลองแนวคิดนี้ เพียงเดือนเศษมีผู้สนใจมากยิ่งขึ้น เดินเข้าบูธเพื่อมาสอบถามข้อมูลและตัดสินใจสำหรับการลงเรียนในโปรแกรมต่างๆ มากขึ้นด้วย โดยแผนงานนับจากนี้ยังมีไอเดียในเรื่องการเปิดโลกประสบ การณ์ดิจิตอลที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการเรียนสำหรับผู้ที่ตัดสินใจเรียนกับทางสถาบันด้วยการพัฒนาโปรแกรม MyStudy ซึ่งเป็นโปรแกรมติดตามการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา สามารถจองคลาสเรียน เช็กตารางเรียน ดูประวัติการเรียนของตนเองผ่านระบบมือถือ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่คนรุ่นใหม่”
อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไว้ราว 40% หรือมีรายได้ 600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาสถาบันมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 20% และมีรายได้เติบโตกว่า 40% โดยปัจจุบันทางสถาบันมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นราย แบ่งเป็นนักเรียนในกลุ่มอายุ 15-22 ปี สัดส่วน 41% กลุ่มอายุ 23-28 ปี สัดส่วน 31% และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 29 ปีขึ้นไป สัดส่วน 28%
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3367 ระหว่างวันที่ 20-23 พ.ค.61
