KEY
POINTS
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,138 ระหว่างวันที่ 9-11 ต.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ในช่วง 120 วัน ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ก่อนที่จะนำไปสู่การคืนอำนาจให้ประชาชน ด้วยการ “ยุบสภา” ในวันที่ 31 ม.ค. 2569 และเลือกตั้งใหม่ ไม่เกินวันที่ 29 มี.ค. 2569 สิ่งที่ “ประชาชนคนไทย” แถบจะทั้งประเทศ คาดหวังจากรัฐบาลเฉพาะกาล ก็คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวข้องกับ “ปัญหาปากท้อง”
*** ดังที่ “สวนดุสิตโพล” ได้เปิดผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับ “นโยบายเร่งด่วนรัฐบาลอนุทิน” พบว่า ประชาชนหวังให้เดินหน้าจัดการปัญหาเศรษฐกิจมากที่สุด โดยเฉพาะการสร้างรายได้-ลดรายจ่าย โดยสำรวจประชาชน 1,149 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-3 ต.ค. 2568 ร้อยละ 59.36 ระบุว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจ คือ สิ่งที่คาดหวังมากที่สุด โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยสร้างรายได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ขณะที่ร้อยละ 20.45 มองว่า ประเด็นความมั่นคง ทั้งการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา และการยกระดับคุณภาพชีวิตชายแดนใต้ เป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องไม่ละเลย
*** ขณะที่สิ่งที่ประชาชนต้องการเห็นมากที่สุดในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และ ค่าครองชีพ (ร้อยละ 31.33) รองลงมาคือ การทำตามนโยบายที่ให้ไว้ (ร้อยละ 23.11) และการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน (ร้อยละ 15.56) นอกจากนี้ ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลความเป็นอยู่ของทหาร-ประชาชนตามแนวชายแดน (ร้อยละ 15.11) และปฏิบัติตามข้อตกลง MOA ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน (ร้อยละ 8.44)
*** มุทิตา มากวิจิตร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า ผลโพลสะท้อนความจริงที่ว่า ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นรากฐานของคุณภาพชีวิตและเสถียรภาพครัวเรือน
พร้อมย้ำว่า ความมั่นคงยังเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพทางการเมือง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงบรรยากาศการท่องเที่ยว “รัฐบาลอนุทินยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้เต็มที่ จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยผลงานจริงในเวลาอันสั้น หากทำได้อย่างเป็นระบบและเห็นผลเป็นรูปธรรม ก็จะไม่เพียงแต่สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน แต่ยังช่วยขยายฐานคะแนนเสียงใหม่ในอนาคต”
*** ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ชัดว่า “เศรษฐกิจ” คือโจทย์ท้าทายที่สุดของ “รัฐบาลอนุทิน” และจะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการประเทศในห้วงเวลาจำกัดก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ การเดินเกมครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แต่ยังเป็นเดิมพันทางการเมืองที่อาจกำหนดอนาคตของ “รัฐบาลภูมิใจไทย” ด้วย
*** เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหา “ปัญหาเศรษฐกิจ” ต้องจับตาไปที่กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเสาหลักในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และนโยบายแรกที่ชูธงสำหรับการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ก็คือ “โครงการคนละครึ่งพลัส” ล่าสุด เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ได้ผลักดันเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 โครงการนี้วงเงินกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการ Quick Big Win ถือเป็นเสาแรกที่รัฐบาลตั้งใจจะฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้นในช่วงไตรมาสที่ 4 และช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนไปใช้จ่าย พร้อมเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าในการใช้แอปพลิเคชัน
*** โครงการนี้ครอบคลุมประชาชน 20 ล้านคนทั่วประเทศ กำหนดไทม์ไลน์ลงทะเบียนตั้งแต่ 15 ตุลาคม สำหรับร้านค้า และ 20-26 ตุลาคม สำหรับประชาชน ก่อนเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง วันที่ 29 ตุลาคม โดยประชาชนทั่วไปจะได้คนละ 2,000 บาท ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้เพิ่มเป็น 2,400 บาท รัฐช่วยแบ่งเบาวันละ 200 บาท ถือเป็นการให้ “แรงใจ” แก่ผู้เสียภาษีโดยตรง สำหรับงบที่ใช้ในโครงการ ใช้เงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ 2569 และงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน
“การผลักดันโครงการคนละครึ่งครั้งนี้ เมื่อรวมกับการเติมเงินลงไปยังโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อนหน้านี้ จะครอบคลุมจำนวนประชากรทั้งหมด 33.4 ล้านคน ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 โดยการดำเนินโครงการครั้งนี้น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ โดยช่วยเพิ่มตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประมาณ 0.3-0.4%” รมว.คลังระบุ
*** แม้รัฐบาลคาดหวังจะเพิ่มจีดีพีได้ 0.3-0.4% แต่เสียงสะท้อนจากภาควิชาการอย่าง นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ก็ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของ “โครงการคนละครึ่งพลัส” ว่า แม้โครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันประสิทธิภาพของโครงการเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุไม่ได้อยู่ที่นโยบาย หากแต่อยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ภาวะเงินหมุนเวียนชะลอตัว ทำให้เม็ดเงินที่อัดฉีดผ่านโครงการไม่สามารถส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจได้เต็มที่
ทีดีอาร์ไอ ชี้ว่า ในมุมของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายลักษณะนี้ ภาครัฐควรจำกัดวงเงินโครงการไม่ให้ขยายใหญ่เกินความจำเป็น เพราะอาจเกิดภาระงบประมาณโดยไม่คุ้มค่า ซึ่งวงเงินที่ใช้ในโครงการนี้ จากที่รัฐบาลประกาศมาประมาณ 4.4 - 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้งบที่ค่อนข้างสูงมาก
ดังนั้น จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องระวังคือ การใช้สิทธิของประชาชนในโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาของ โครงการคนละครึ่ง ยุคแรกๆ พบว่ามีผู้ได้รับสิทธิแต่ไม่นำไปใช้จริงในสัดส่วนที่สูง หากเกิดกรณีเช่นนี้ต่อไป จะทำให้เงินที่จัดสรรไว้ไม่เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นการใช้งบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ โดยงบประมาณของรัฐมีจำกัด
หากเปิดโครงการแล้วคนไม่ใช้ สิทธินั้นก็จะสูญเปล่า เงินที่ควรนำไปหมุนในระบบเศรษฐกิจจะถูกพักไว้โดยไม่มีผลใดๆ โดยเสนอว่า รัฐควรออกแบบนโยบายให้เหมาะสม กับศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ควรพิจารณาปรับสัดส่วนการสนับสนุนให้เหมาะสม เพื่อให้มาตรการบรรลุเป้าหมายได้จริง
การออกแบบโครงการในภาวะงบประมาณจำกัด จำเป็นต้องเน้น ความคุ้มค่าและตรงจุด ให้ทุกบาทที่ใช้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการได้อย่างแท้จริง โดยเห็นว่า หากรัฐต้องการให้ “คนละครึ่งพลัส” เป็นนโยบายที่ยังตอบโจทย์สังคม ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการขยายงบประมาณ
*** ปิดท้าย... บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด ในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหาร รวมถึงขนมสัตว์เลี้ยง แบรนด์ JINNY เตรียมจัด “งาน JINNY ใจฟูเจอร์นี่” โดยมี “พี่จอง คัลแลน” ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ ในวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2568 เวลา 14.30-17.00 น. ณ River Park ไอคอนสยาม