เปิดพิมพ์เขียวเศรษฐกิจ-สังคม เร่งแก้ปากท้อง หนี้ ฟื้นท่องเที่ยว

01 ต.ค. 2568 | 07:04 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 07:18 น.

เปิดพิมพ์เขียวเศรษฐกิจ-สังคม เร่งแก้ปากท้อง-หนี้-ฟื้นท่องเที่ยว : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย sหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4136

KEY

POINTS

  • รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วนโดยเน้นการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านมาตรการ "สร้างรายได้-ลดรายจ่าย" เช่น ลดค่าพลังงาน ค่าโดยสาร และสานต่อโครงการคนละครึ่ง
  • มุ่ง "ปลดล็อกหนี้" ทั้งหนี้ภาคประชาชน โดยการปรับโครงสร้างหนี้รายบุคคล และหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs โดยการเพิ่มสภาพคล่องและโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน
  • วางเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็น "หัวจักรเศรษฐกิจ" หลักของประเทศ โดยจะยกระดับความปลอดภัย อำนวยความสะดวก และกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,136 ระหว่างวันที่ 2-4 ต.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย  

*** เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยได้ประกาศชัดว่า นโยบายสำคัญของรัฐบาลจะเน้น “การแก้ปัญหาเร่งด่วน” เพื่อคืนความเชื่อมั่นและสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในมิติ เศรษฐกิจ ปากท้อง หนี้สิน การออม การท่องเที่ยว และ การรับมือกับผลกระทบสงครามการค้าโลก ประกอบด้วย 


1.ปากท้องประชาชน-พลังงานสีเขียว : รัฐบาลประกาศจะ “สร้างรายได้-ลดรายจ่าย” เป็นวาระแรก ลดภาระประชาชนในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าพลังงาน น้ำสะอาด ค่าโดยสาร และ ค่าผ่านทาง พร้อมสานต่อมาตรการ “คนละครึ่ง” เสริมสภาพคล่องให้ประชาชนจับจ่ายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาเกษตรกร-ผู้ค้ารายย่อย-SMEs ผ่านกลไกรัฐ-เอกชน-ท้องถิ่น และขับเคลื่อนการเรียนรู้ Reskill & Upskill เพิ่มผลิตภาพแรงงาน ขณะเดียวกันรัฐบาลจะผลักดันการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ภาคครัวเรือนและการเกษตร เพื่อลดค่าใช้จ่าย สร้างรายได้ใหม่ และตอบโจทย์สังคมพลังงานสีเขียว

2.หนี้สิน-สภาพคล่อง  รัฐบาลชูธง “ปลดล็อกหนี้” บนหลักความเสี่ยงที่เป็นธรรม อันได้แก่ หนี้ประชาชน: ปรับโครงสร้างหนี้รายบุคคล ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ลดกับดักหนี้ที่ถ่วงรั้งคุณภาพชีวิต SMEs: เพิ่มสภาพคล่องรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เสริมโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน พร้อมพัฒนาความรู้การเงิน เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับธุรกิจ นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้ SMEs มีสิทธิร่วมจัดซื้อจัดจ้างกับรัฐและบริษัทยักษ์ใหญ่ เพื่อสร้างความแข็งแรงในห่วงโซ่ธุรกิจ

3.การออมของประชาชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน รัฐบาลเปิดทางให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึง พันธบัตรรัฐบาล สะดวกขึ้น พร้อมเพิ่มดอกเบี้ยจูงใจ ขณะเดียวกัน ยังพัฒนา สลากเพื่อการออม โดยกันเงินจากสลากที่ไม่ถูกรางวัล ให้กลายเป็นกองทุนออมต่อเนื่อง สร้างวินัยทางการเงินให้คนไทย

4.ฟื้นท่องเที่ยว-สร้างความมั่นใจ รัฐบาลวางท่องเที่ยวเป็น “หัวจักรเศรษฐกิจ” ด้วยมาตรการยกระดับความปลอดภัย-ลดการโกงนักท่องเที่ยว-อำนวยความสะดวก กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศโดยเฉพาะ “เมืองรอง” ผ่านมาตรการภาษีจูงใจผู้ประกอบการให้ปรับปรุงโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งยังผลักดันให้ไทยเป็น ศูนย์กลางพำนักระยะยาว ดึงเม็ดเงินใช้จ่ายจากชาวต่างชาติ พร้อมเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว

5.รับมือสงครามการค้า-สร้างโอกาสใหม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าโลก รัฐบาลจัดตั้ง “ทีมไทยแลนด์” บูรณาการกระทรวงการต่างประเทศ-พาณิชย์-ผู้แทนการค้าไทย เพื่อเปิดตลาดใหม่ : ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา, ก้าวสู่ OECD: ผลักดันการเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือการค้า-การลงทุน ในมิติผู้ประกอบการ รัฐบาลเตรียมมาตรการดูแล SMEs -เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ ทั้งการป้องกันทุ่มตลาด -สวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า พร้อมสนับสนุน Made in Thailand ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านที่ก่อปัญหาฝุ่น PM 2.5

6.สร้างบรรยากาศลงทุน-ดึงอุตสาหกรรมอนาคต รัฐบาลตั้งเป้าสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุน “ทันสมัย โปร่งใส แข่งขันได้” โดย ปรับกฎระเบียบ-ขั้นตอนอนุญาต ให้สะดวกขึ้น รวมทั้งปรับระบบส่งเสริมการลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่ ดิจิทัล & AI, เซมิคอนดักเตอร์-อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ยานยนต์สมัยใหม่, อาหารแห่งอนาคต, พลังงานสะอาด-ชีวภาพ พร้อมส่งเสริมการตั้ง บริษัทร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ ยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก

*** การแถลงนโยบายของ “รัฐบาลอนุทิน” สะท้อน “พิมพ์เขียวเศรษฐกิจ-สังคม” ที่รัฐบาลมุ่งผลักดัน ทั้งการดูแลปากท้อง ฟื้นฟูหนี้ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างโอกาสใหม่ด้านการค้าและการลงทุน ขณะเดียวกัน ก็เร่งฟื้นท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “ว.เชิงดอย” มองว่าภารกิจของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยนโยบายที่ถูกทิศทาง แต่ยังต้องอาศัย “พลังแห่งความเชื่อมั่น” จากทั้งภาครัฐ เอกชน และ ประชาชนร่วมกันขับเคลื่อน จึงจะสามารถสร้าง “ชัยชนะทางเศรษฐกิจ” ที่คนไทยกำลังเฝ้ารอ ...มารอดูกันว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย อย่างที่ได้ประกาศไว้หรือไม่? ก่อนที่จะ “ยุบสภา” และ “เลือกตั้งใหม่” ในวันที่ 29 มี.ค. 2569 

*** หันไปดูข้อพิพาทระหว่างภาคเอกชนไทยกับต่างชาติ ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง “มหากิจศิริ” และ “เนสท์เล่” เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2516 เมื่อ ประยุทธ มหากิจศิริ บุกเบิกโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูปในไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก BOI ในยุคที่อุตสาหกรรมนี้ยังใหม่ และเปิดโอกาสให้ “เนสท์เล่” เข้ามาร่วมทุนใน บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ก่อนจะเติบโตจนกลายเป็นผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูป แบรนด์เนสกาแฟที่ครองตลาดไทยมายาวนาน

...แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทและทิศทางธุรกิจเริ่มเปลี่ยน ผู้สังเกตการณ์มองว่า ความพยายามในการ “ถือหุ้นเต็ม” ของบริษัทข้ามชาติ อาจสร้างแรงกดดันให้พันธมิตรท้องถิ่นต้องตัดสินใจยาก ไม่ว่าจะเป็นการขายหุ้น หรือ หาทางออกที่เหมาะสม โดยมีการประเมินมูลค่าหุ้นแตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างราคาที่ฝ่ายไทยคาดหวังและราคาที่ฝ่ายต่างชาติเสนอ จนท้ายที่สุดการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปได้

*** สิ่งที่ตามมาคือ ข้อพิพาทเรื่องสัญญาและการดำเนินกิจการ QCP ที่เข้าสู่กระบวนการศาล ซึ่งศาลแพ่งมีนบุรีได้มีคำสั่งบางประการเกี่ยวกับการผลิตและการจำหน่าย โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างข้อพิพาททางกฎหมายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ...ประเด็นนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนคำถามสำคัญในหลายมิติ ตั้งแต่ความสมดุลระหว่าง “การลงทุนจากต่างชาติ” กับ “อธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ของประเทศ ไปจนถึงการเคารพพันธมิตรท้องถิ่น ที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนาน

ผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า กรณีนี้เป็นเสมือน “บทเรียนใหญ่” ของการร่วมทุนระหว่างเอกชนไทยกับต่างชาติ ที่แม้จะสร้างความสำเร็จมหาศาลในระยะยาว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ขององค์กรระดับโลก ที่เน้นผลประกอบการสูงสุด ขณะที่สังคมไทยก็กำลังเฝ้าจับตามองว่า “ข้อพิพาท” นี้จะลงเอยอย่างไร และจะทิ้งร่องรอยต่อภาพลักษณ์ของทั้งสองฝ่ายอย่างไรบ้าง

                           เปิดพิมพ์เขียวเศรษฐกิจ-สังคม เร่งแก้ปากท้อง หนี้ ฟื้นท่องเที่ยว

*** ปิดท้ายกันที่... บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นำโดย ฐาปน สิริวัฒนภักดี จัดคอนเสิร์ต Royal Jazz for Chaipattana Foundation เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ ในวโรกาส 70 พรรษา และหารายได้สมทบ มูลนิธิชัยพัฒนา คอนเสิร์ตจัดครั้งแรก พ.ค. 2568 สามารถระดมทุนได้ 4.4 ล้านบาท ส่วน Volume 2 จัดที่ SX Grand Plenary Hall ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ขับขานบทเพลงพระราชนิพนธ์ 23 บทเพลง โดยวง Big Band ม.มหิดล และศิลปินคุณภาพ เช่น นภ พรชำนิ, รัดเกล้า, แก้ม วิชญาณี, โก้ Mr.Saxman ฯลฯ ภายในงานมีการแสดงวิดีทัศน์ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์, นิทรรศการผลงานมูลนิธิชัยพัฒนา, งานศิลปะ และร้าน “ภัทรพัฒน์” รายได้ทั้งหมด ไม่หักค่าใช้จ่าย มอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อสานต่อภารกิจสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชน