KEY
POINTS
*** “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นวาทกรรมหวานหูที่ถูกหยิบมาเป็นสัญญาประชาคมของรัฐบาล เพื่อหวังคลายภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยกำหนดให้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2568 ต้อนรับปีงบประมาณใหม่ ทว่าจาก “ฝัน” สู่ “ความจริง” กลับสะดุดกลางทาง เมื่อรัฐบาลต้องประกาศ “เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด” เพราะติดหล่มข้อจำกัดหลายประการ ทั้งกฎหมาย สัญญาสัมปทาน และ ภาระงบประมาณแผ่นดินที่สูงลิ่ว
*** ทำไมฝันจึงค้าง? เมื่อไล่เลียงดูจะพบอุปสรรคที่น่าสนใจประกอบด้วย ปมสัมปทาน : แต่ละเส้นทางรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้สัญญาที่แตกต่างกัน ทั้ง กทม. รฟม. และ เอกชนคู่สัญญา การจะบังคับ “20 บาทตลอดสาย” เท่ากับต้องเจรจาปรับแก้เงื่อนไขใหม่ทั้งหมด, ภาระการคลัง : กระทรวงการคลังประเมินเบื้องต้นว่า หากใช้จริงรัฐต้องอุดหนุนรายได้ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี, ข้อกฎหมาย : ต้องมีพระราชบัญญัติรองรับ มิใช่เพียงมติ ครม. หรือ คำสั่งทางปกครอง
***สำหรับ “ไทม์ไลน์ฝันค้างรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” มีเส้นทางเริ่มจาก ส.ค. 2566 พรรคการเมืองหาเสียง ยกนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นจุดขายสำคัญ, ก.ย. 2566 รัฐบาลชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ยืนยันว่าจะเดินหน้านโยบายนี้ภายในปี 2568, ธ.ค. 2566 - มี.ค. 2567 กระทรวงคมนาคม - รฟม. ศึกษาความเป็นไปได้ พร้อมหารือร่วมเอกชนผู้รับสัมปทาน, พ.ค. 2567 รัฐบาลประกาศ “เดินหน้าแน่” ตั้งเป้าเริ่มใช้ 1 ต.ค. 2568, ก.ค. 2568
สำนักงานงบประมาณ-สภาพัฒน์ แสดงความกังวลเรื่องภาระการคลัง หากทำจริงอาจกระทบวินัยการเงินการคลัง, ส.ค. 2568 กระทรวงการคลังเสนอ ครม. ชะลอโครงการไว้ก่อน เหตุผลหลักคือ ยังไม่มีกรอบกฎหมาย-งบประมาณรองรับ , รัฐบาลประกาศเลื่อนอย่างเป็นทางการ “ยังไม่สามารถเริ่ม 1 ต.ค. 2568 ได้”
*** ภายหลังรัฐบาลประกาศเลื่อนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้มีเสียงสะท้อนจากผู้โดยสาร ที่รู้สึก “ผิดหวัง” เพราะต้นทุนชีวิตในเมืองยังสูง ขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ ขณะที่นักวิชาการบางคน เห็นว่า หากอยากทำจริง ต้องแก้โครงสร้างรายได้-ค่าใช้จ่ายระบบรางทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงกดราคาด้วยงบอุดหนุน ส่วนฝ่ายการเมือง เห็นว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์ว่าใช้เป็น “นโยบายประชานิยมสร้างภาพ” มากกว่าความเป็นไปได้จริง ...นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” จึงยังเป็นเพียง “ความฝัน” ที่ต้องรอเวลา เพราะติดเงื่อนไขรอบด้าน ถือเป็น“การบ้านก้อนใหญ่” ที่รัฐบาลต้องกลับไปแก้ทั้ง “กฎหมาย-สัญญาสัมปทาน-แหล่งเงินอุดหนุน” หากหวังให้คนเมืองได้ใช้บริการจริงในอนาคต
*** หันไปดูภาพรวมภาวะ “เศรษฐกิจไทย” กันบ้าง เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาอัพเดทสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปีว่า จะโตเกิน 2.2% เหตุเพราะภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ ออกมาเป็นผลบวกต่อไทย และรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาท และจะมีการเร่งการใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มเติมด้วย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568
***ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ อยู่ในระดับ 64% มีพื้นที่ทางการคลังที่ยังจะสามารถขยายได้อีก ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไปดำเนินการต่อ เหล่านี้ล้วนเป็นผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดพรีเมียม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์ กีฬา และ MICE กำลังขยายตัว อีกทั้งการจ้างงานในภาคบริการทั่วทุกภูมิภาค และ ตัวเลขขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรก นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันนโยบายปฏิรูปภาคตลาดทุนและตลาดการเงิน
*** “ในช่วงของการอประกาศผลภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ หลายสำนักเศรษฐกิจได้มีการคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีกดลงต่ำกว่า 1% แต่เมื่อประกาศภาษีอย่างเป็นทางการออกมาที่ 19% ทำให้เป็นผลบวกต่อไทย เพราะอย่าลืมว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยต้องพึ่งพาการส่งออก และเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ประกอบกับโลคอลคอนเทนต์ (Local Content) ผลิตในประเทศสูง ดังนั้น โอกาสที่เราจะได้ภาษีต่ำจึงมีสูงกว่าประเทศคู่แข่งของเรา” แต่ เผ่าภูมิ ก็ย้ำว่า แม้ตัวเลขจีดีพีในช่วงครึ่งปีแรกโตได้ 3% ส่วนครึ่งปีหลังน่าจะโตต่ำกว่า 3% ขณะที่ตัวเลขการส่งออกดีมาโดยตลอด แต่อาจจะชะลอตัวลงบ้างในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ...
*** ปิดท้ายกันที่... สำนักงาน ป.ป.ช. ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ 96.61 คะแนน ผ่านระดับดี ซึ่งเป็นการประเมินจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอก และการเปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่งประกอบด้วย 10 ตัวชี้วัด คือ การปฏิบัติหน้าที่ การใช้งบประมาณ การใช้อำนาจ การใช้ทรัพย์สินของราชการ การแก้ไขปัญหาการทุจริต คุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงการทำงาน การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต ผลการประเมินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงระดับคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงาน
*** พนา สุภาวกุล รองผู้ว่าการบริหาร กฟผ. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กฟผ. ยืนยันว่า ปีหน้า 2569 กฟผ.ยังคงมุ่งมั่นและพร้อมพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสารสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ ให้เกิดขึ้นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก รวมทั้งปรับปรุงและยกระดับการดำเนินงานให้ตอบสนองหน่วยงานทุกภาคส่วน โดยดำเนินแผนปฏิบัติการด้านส่งเสริมธรรมาภิบาล และการป้องกันและต่อต้านการทุจริตของ กฟผ. อย่างเป็นรูปธรรม ติดตามและตรวจสอบได้ เพื่อให้การดำเนินงานของ กฟผ. มีคุณธรรมและความโปร่งใส ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากยิ่งขึ้น...
คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,127