KEY
POINTS
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,125 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจากไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัว 3.2% ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 1.8-2.3% (ค่ากลางประมาณ 2%) การชะลอตัวเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ได้แก่ ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อกิจกรรมการค้าชายแดน, ปัญหาอุทกภัยและน้ำป่าไหลหลากในภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่าน และ เชียงราย ทำให้บ้านเรือน โรงงาน และ ชุมชนได้รับผลกระทบ
*** เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 86.6 ลดลงจาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน 2568 โดยสาเหตุหลักมาจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิต มูลค่าการค้ารวมเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และ ลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำลังซื้อในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าคงทน เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องจักรกล
*** ขณะที่ “ปัจจัยลบกระทบเศรษฐกิจ” มีทั้ง 1.กรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทบการค้าชายแดนและความเชื่อมั่นนักลงทุน ส่งผลต่อผู้ประกอบการที่มีธุรกิจใกล้แนวชายแดน 2.อุทกภัยภาคเหนือ จังหวัดน่าน และ เชียงราย เผชิญน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมบ้านเรือน โรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน 3.แรงกดดันจากภาษี Reciprocal Tariff ที่อัตราภาษี 36% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลกระทบความสามารถแข่งขันของภาคธุรกิจ และ SMEs 4.ปัจจัยงบประมาณและกำลังซื้อ เกิดความกังวลเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568, กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคคงทน
*** ท่ามกลางปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ก็ยังมี “ปัจจัยบวก” จากโครงการของรัฐ ได้แก่ 1.โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” ที่มีจำนวน 500,000 สิทธิ์ งบประมาณ 1,750 ล้านบาท ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่น 2.การลงทุน ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากปีก่อน ช่วยยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานภาคอุตสาหกรรม 2.ราคาน้ำมันทรงตัว ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ 3. มาตรการพลังงานและค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้าตรึงอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย (ก.ย.-ธ.ค.68), ส่งเสริมติดตั้ง Solar Rooftop ลดต้นทุน, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (เริ่ม 1 ต.ค. 68) บรรเทาภาระค่าครองชีพ
*** ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้ 1.เร่งเยียวยาผู้ประกอบการชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยการ สนับสนุนให้กลับมาดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว, ลดความเสี่ยงการลงทุนในระยะยาว 2.สนับสนุนสินเชื่อและสภาพคล่อง ด้วยมาตรการดอกเบี้ยต่ำหรือเงื่อนไขผ่อนปรน, ช่วย SMEs และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff 3.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้ำ ด้วยการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยภาคเหนือ, เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำ ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำอย่างยั่งยืน
*** เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรก 2568 ขยายตัวชะลอตัวจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งข้อพิพาทชายแดน อุทกภัย และ แรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการรัฐ การลงทุนภาคอุตสาหกรรม และ มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยสรุป... “เศรษฐกิจไทย” ยังมีแนวโน้มเติบโต แต่ต้องเผชิญแรงเสียดทานสูงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก การประคับประคองด้วยมาตรการรัฐและ การลงทุนภาคเอกชน จะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพและขยายตัวอย่างยั่งยืนในปี 2568
*** ไปที่...สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ยังสั่นสะเทือนวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ที่ต้องเผชิญทั้งเสียงปืนใหญ่-กับระเบิด และ การอพยพหลบภัยอย่างไม่คาดคิด ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกรัฐบาล สรุปสถานการณ์ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2568 ว่า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า มีประชาชนกว่า 779,000 คน ได้รับผลกระทบ ครอบคลุม 262,551 ครัวเรือน ใน 7 จังหวัด 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 705 หลัง ซ่อมแซมแล้ว 331 หลัง (46.9%), รัฐบาลอนุมัติเงินช่วยเหลือฉุกเฉินแล้ว 201 ล้านบาท ครอบคลุมค่าอาหาร ที่พักพิง ค่ารักษาพยาบาล และการจัดการศพ, การเยียวยาโดยตรงแก่ผู้ประสบภัยจ่ายแล้วกว่า 17.6 ล้านบาท, สิ่งของบรรเทาทุกข์กว่า 2 ล้านหน่วย ถูกลำเลียงสู่พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ เครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนเครื่องจักรกลสาธารณภัย, จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ซึ่งกลายเป็นแนวหน้าของทั้งการเผชิญเหตุ และ การรองรับผู้พลัดถิ่นจากการอพยพ
*** สำหรับการดำเนินการของรัฐบาล ดำเนินการควบคู่ทั้งการช่วยเหลือ และ การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้น 3 ด้านสำคัญคือ 1.การดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ เอาผิดผู้ที่ละเมิดอธิปไตย 2.การเก็บกู้วัตถุระเบิด-ตรวจสอบโดรน เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำและสร้างพื้นที่ปลอดภัย 100% สำหรับการอพยพ 3.การบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ต่อผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบบินโดรน หรือ ฝ่าฝืนประกาศข้อห้าม ในขณะที่ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากจากการอพยพและความไม่แน่นอน กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งเปิด “ช่องทางการตลาด-การค้าชายแดน” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการท้องถิ่น ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ให้ซ้ำเติมวิกฤติความมั่นคง
*** วิกฤติชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ อาจยังไม่จบง่าย ๆ แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเต็มกำลัง ทั้ง ด้านความมั่นคง กฎหมาย มนุษยธรรม และ เศรษฐกิจ เพื่อดูแลประชาชนเกือบ 8 แสนคน ที่ได้รับผลกระทบ “ว.เชิงดอย” มองว่า ท่ามกลางความตึงเครียดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เสียงของชาวบ้านที่ชายแดน คือ สิ่งที่สะท้อนความจริงที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว “ความมั่นคงของรัฐ” ไม่ได้วัดกันแค่การปกป้องแผ่นดิน แต่ต้องวัดจากการดูแลชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยให้ อยู่เย็น เป็นสุข ด้วยเช่นกัน...