KEY
POINTS
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,111 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 สั่งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน กรณีขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และ 170 ปมคลิปเสียงสนทนา “แพทองธาร–ฮุน เซน” หลุดว่อนโซเชียล จนเป็นเหตุให้เสถียรภาพของ “รัฐบาล “เพื่อไทย” ถูกสั่นคลอน “ความเสี่ยงทางการเมือง” กลับมาฉุดรั้งเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชะงัก และการบริโภคภาคเอกชนที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งดิ่งเหวลงไปอีก
***แม้ “คณะรัฐมนตรี” จะยังคงเดินหน้าประชุมได้ตามปกติภายใต้การกำกับของรองนายกฯ รักษาการ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ข้อเท็จจริงคือ อำนาจตัดสินใจระดับสูง เช่น การอนุมัติงบกลาง การเจรจา MOU ระหว่างประเทศ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และการเสนอร่างกฎหมายสำคัญ จะติดขัด หรือ ชะลอ ทั้งหมด ถ้าไม่มี “นายกฯ” อย่างเป็นทางการ ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะ “การเมืองเชิงตั้งรับ” ทุกนโยบายจะเน้นแค่ประคองสถานการณ์ ไม่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ
*** สิ่งที่ “คนไทย” ควรเตรียมรับมือคือ 1.จับตาอัตราเงินเฟ้อ- ค่าเงินบาท เพราะความไม่แน่นอน อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่ารุนแรง หากต่างชาติเทขายพันธบัตรและหุ้นไทยต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องรับมือกับราคานำเข้า เช่น น้ำมัน-ก๊าซหุงต้ม-สินค้าอุปโภค ที่มีโอกาสปรับขึ้น
2. ชะลอการก่อหนี้-รอความชัดเจน แม้ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงนิ่ง แต่ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนอาจทำให้รายได้ไม่แน่นอนตามไปด้วย การตัดสินใจกู้เงิน ซื้อของชิ้นใหญ่ ควรรอความคืบหน้าทางการเมืองก่อน
3. เฝ้าระวังความขัดแย้งบนท้องถนน สัญญาณการเคลื่อนไหวของ กลุ่มมวลชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลเริ่มชัดเจน และจะรุนแรงขึ้น หากสถานการณ์ลากยาวจนเกิดม็อบยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินของผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่เสี่ยงทันที
*** “ศาลรัฐธรรมนูญ” อาจมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ กว่าจะวินิจฉัยว่า “แพทองธาร ชินวัตร” จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ความเสียหายต่อ “ความเชื่อมั่น” นั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้ว และหากกลไกทางการเมืองไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้เร็วพอ เศรษฐกิจไทยจะเจอกับ “ห้วงลึกที่ไม่มีเครื่องยนต์ใดดึงขึ้นมาได้” ประชาชนต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ยึดหลัก “ประหยัด-ระวัง-รอจังหวะ” ให้มั่นคงไว้ก่อน เพราะพายุลูกนี้ ยังไม่จบง่ายๆ
*** ผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุหลังประชุม กกร. เมื่อวันอังคารที่ 2 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมาว่า กกร.ได้คงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 ลงมาอยู่ที่กรอบ 1.5-2.0% โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการประเมินที่สวนทางกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ยังคงคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ถึง 2.3% ทั้งนี้ ปัจจัยลบสำคัญมาจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ และ “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” ที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ
*** "เสถียรภาพการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งความไม่แน่นอนสร้างผลกระทบต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจในประเทศ ทั้งเรื่องการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐตามแผน ...เบื้องต้น กกร. ประเมินว่า หากไทยยังถูกสหรัฐ เรียกเก็บภาษีในอัตรา 10% เศรษฐกิจจะโตได้ราว 2.0% แต่หากอัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 18% GDP จะลดลงมาใกล้เคียง 1.5%” ประธานการประชุม กกร. ระบุ
*** เห็นโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเริ่มลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ไปจนถึง 31 ต.ค. 2568 ได้รับความสนใจจากประชาชน “ล้นหลาม” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าที่พักในเมืองท่องเที่ยวหลักวันธรรมดาในอัตรา 50% ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องหรือคืน และในวันหยุด สนับสนุน 40% สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องหรือคืนเช่นกัน กรณีใช้สิทธิ์ในเมืองน่าเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน 50% ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด รวมถึงสนับสนุนค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมท่องเที่ยว 50% มูลค่า 500 บาทต่อสิทธิ์
ทำให้คิดถึง “โครงการคนละครึ่ง” ที่เป็นหนึ่งในมาตรการทางเศรษฐกิจที่ “รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี นำมาใช้รับมือกับผลกระทบที่ประชาชนเผชิญกับช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน “ว.เชิงดอย” เห็นว่า เป็นโครงการที่ “ชาญฉลาด” ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยเฉพาะร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้อานิสงค์ด้วย
ที่สำคัญคือ นอกจาก “รัฐบาล” จะลงเงินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยังทำให้ “ประชาชน” นำเงินของตัวเองออกมาจับจ่ายใช้สอยอีก “ครึ่งหนึ่ง” ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลอัดเงินในโครงการนี้จำนวน 100,000 ล้านบาท ประชาชนก็จะต้องใช้จ่ายเงินตัวเองรวมทั้งหมดอีก 100,000 ล้านบาท รวมเป็น 200,000 ล้านบาท เรียกว่า “รัฐและประชาชน” ช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ ดีกว่าโครงการที่รัฐบาลออกเงินฝ่ายเดียวไปยัดเงินใส่กระเป้าประชาชน เป็นไหนๆ ...อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ ว่า โครงการนั้น คนนั้นคิด โครงการนี้คนนี้คิด อยู่เลย อะไรที่เป็นของดีดี หยิบยกมาดำเนินการ แล้วเป็นประโยชน์ต่อ “ประชาชน” กับ “เศรษฐกิจไทย” จะมัวช้าอยู่ไย?...