KEY
POINTS
*** ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจของประแทศ ที่เกิดภาวะชงักงันต่อเนื่องกันมาหลายปี สถานการ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งทำให้ในช่วงเวลาแค่ 2 ปีกว่าๆ ประเทศไทยมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 3 คน รวมไปถึงภาวะกดดันที่เกิดจากสงครามเศรษฐกิจ ที่ทวีความรุนแรงจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากทุกประเทศทั่วโลก ทำให้กรณี “การแข็งตัวของค่าเงินบาท” ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ถูกมองว่าเป็นความ “ผิดปกติ” ซึ่งเดินสวนทางกับภาวะปัจจุบันของประเทศอย่างชัดเจน
ทั้งนี้เจ๊เมาธ์ต้องบอกไว้ก่อนว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่า มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว
ในส่วนของข้อดี ก็หนีไม่พ้นเรื่องต้นทุนสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ต่ำลง ในขณะที่กลุ่มผู้ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศก็จะมีต้นทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ขณะเดียวกัน การซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศของบุคคลทั่วไป ก็จะทำได้ในราคาจะถูกลง
ส่วนข้อเสีย ที่เกิดจากการแข็งค่าของเงินบาท ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ จะนำรายได้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง กลุ่มคนที่ทำงานต่างประเทศ ซึ่งนำรายได้ที่เป็นสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
รวมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ที่รับเงินจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้องลง เนื่องจากต้นทุนของนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้นในขณะที่สกุลต่างประเทศนำรายได้มาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
หมายความว่า หากค่าเงินบาทของไทยเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป จะส่งผลกระทบที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดภาวะเสียสมดุลขึ้นนั่นเอง
ว่ากันตามตรง...ในสถานการณ์ปกติค่าเงินบาทไม่ควรแข็งค่าสวนทางกับความเป็นจริงเช่นนี้ ดังนั้น จึงมีคำถามว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น???
สมมติฐานแรก คือ ความคาดหวังที่มีต่อรัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะของนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจซึ่งถือเป็น Sentiment ในเชิงบวกจนสามารถกระตุ้นการลงทุนในประเทศ
รวมไปถึงสามารถดึงดูด Fund Flow เข้ามาเนื่องจากต่างชาติมองว่า ค่าเงินบาทไทยมีความแข็งแกร่ง ซึ่งค่าเงินในประเทศมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่น จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างที่เห็น
สมมติฐานที่สอง เป็นเรื่องที่ถูกมองในมุมกลับที่ว่า ถึงแม้การแข็งค่าของเงินบาทจะมาจากการไหลเข้าของ Fund Flow แต่กลับกลายเป็นว่าสาเหตุที่ “เงินนอก” เหล่านี้ไหลเข้ามาไม่ได้เกิดจากประเด็นความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล แต่อาจมีแหล่งที่มาจาก
1.เศรษฐกิจใต้ดิน ที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมาย ที่อาจเกี่ยวโยงกับแก๊งคอลเซนเตอร์ หรือกาสิโน
2.เงินที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เช่น กระบวนการในการหลีกเลี่ยงภาษีต่างๆ
ทั้งนี้ในกรณีสมมติฐานที่สอง มีนักวิชาการหลายคนมองว่าแหล่งที่มาของเงินเหล่านี้ อาจมาจากการฟอกเงินของกลุ่มจีนเทา ซึ่งเข้ามาสร้างอิทธิพล จนมีธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่บริเวณตะเข็บชายแดนรอบประเทศ เช่น ในกรณีที่ตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมา มีเครือข่ายยาเสพติดขนาดใหญ่ มีกองกำลังชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ
รวมไปถึง มีการลักลอบนำเงินเข้าออกริมชายแดนจำนวนมาก โดยกลุ่มเหล่านี้จะถือเงินดอลลาร์ เป็นเงินสกุลหลัก ที่จะนำมาแลกในไทย ผ่านธุรกรรมอำพรางหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่น่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทองคำจำนวนมหาศาลไปยังประเทศกัมพูชา ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งที่ประเทศแห่งนี้ไม่น่าจะเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ตัวจริง ที่ไทยต้องส่งออกทองคำไปให้เป็นเบอร์ต้นๆ
รวมถึงกรณีของบ่อนกาสิโน และ แก๊งคอลเซนเตอร์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งหลายแห่งได้อาศัยโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า และ ระบบโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ข้ามฝั่งไปจากประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลของไทย ในบริเวณตะเข็บชายแดน...จนอาจเข้าข่ายธุรกรรมอำพลางเช่นกัน!!!
เงินเหล่านี้จะมาก หรือ น้อยแค่ไหน เจ๊เมาธ์ไม่รู้ แต่ที่รู้คือ ล่าสุดนายกฯ อนุทิน ถึงขั้นต้องสั่งสอบสวนเพื่อหาแหล่งที่มาของเงินปริศนาจำนวนถึง "ห้าแสนล้านบาท" ซึ่งไหลเข้ามาในประเทศ ทั้งที่ไม่ปรากฏที่มาอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม...หากมองในมุมกลับจะพบว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมาย “ป้องกันการฟอกเงิน” ไม่ต่างไปจากประเทศอื่น แต่ปัญหาของไทยกลับเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ที่ค่อนข้าง “ด้อยประสิทธิภาพ” ซึ่งถือว่าเป็นจุดแตกต่างไปจากประเทศที่พัฒนาแล้วโดยสิ้นเชิง
หมายความว่า หากไทยต้องการควบคุม และดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปจนถึงขั้นที่ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในประเทศ ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก
ประเทศไทย...อาจต้องแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีประสิทธิภาพให้ได้อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ขณะเดียวกัน ไทยก็ควรจะปรับปรุงกฎหมายในการบริหารพื้นตะเข็บชายแดนให้สามารถบังคับใช้งานได้จริง เพราะหากรัฐบาล “พูดจริงแล้วทำได้” ก็คงไม่ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้วุ่นวายว่า เงินเทา หรือเงินฟอกจะมาจากไหน
ถึงตอนนี้...เจ๊เมาธ์จะกลัวก็แค่พูดจริงแล้วทำไม่ได้เท่าก็นั้นเองเจ้าค่ะ อิอิอิ