หุ้น IPO รีบหน่อย...ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน!

*** การเปลี่ยนผู้บริหารประเทศยกทีม จากรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย มาเป็นรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะในส่วนของรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ดูเหมือนจะทำให้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผ่านออกมาทางตลาดหุ้นไทยในเบื้องต้น มีการขยับตัว

ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของ Fund flow ที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หุ้นใหญ่หลายตัวที่ถูกจับมาเล่นรอบเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก การที่ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะ 1300 จุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของหุ้น IPO ที่หลังจาก 8 เดือนที่ผ่านมามีหุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดฯ เพียงแค่ 6 ตัว ก็มีสัญญาณการขยับตัวอย่างร้อนแรงเช่นกัน... 

แต่ก่อนอื่น คงต้องเท้าความกลับไปว่าเหตุใด...กว่า 8 เดือนที่ผ่านมาถึงมีหุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น

อย่างแรก คือ ปัญหาในเรื่องของหุ้น IPO ไม่สามารถให้ผลตอบแทนนักลงทุนได้อย่างที่คาดหวัง ไม่ต้องว่ากันอื่นไกล...เอาแค่หุ้น 6 ตัว ซึ่งประกอบไปด้วย PIS MOTHER LTMH BKA NUT และ HANN (เข้าตลาดตัวล่า) ที่เข้าตลาดไปก่อนหน้านี้...แม้ว่าการเปิดทำการซื้อขายวันแรก (First Trading Day) มีหุ้น NUT เพียงตัวเดียวที่ปิดตลาดวันแรก ด้วยราคาหุ้นที่ต่ำกว่าราคาจองซื้อ แต่จนถึงตอนนี้ก็มีแค่ PIS และ HANN ที่สามารถยืนเหนือราคาจองซื้อมาได้ 

อย่างที่สอง คือ บรรยากาศในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี “ไม่ดึงดูดใจ” ทั้งจากนโยบายการเงินที่ค่อนข้างเข้มงวด เพื่อการควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้หุ้น IPO ราคาหลุดต่ำกว่าราคาจองซื้อ ไม่ว่าบริษัทนั้นจะดี หรือ มีศักยภาพแค่ไหน 

ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าราคาหุ้นเสียทรงตั้งแต่ช่วงแรก อาจเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นต่อบริษัทในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ต่างเบนเข็มทิศการลงทุนไปสู่ตลาดหุ้นอื่น หรือ สินทรัพย์อื่นที่มีเสถียรภาพมากกว่า

ปัญหาอย่างที่สาม ถึงแม้ว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทย หุ้น IPO ค้างท่ออยู่ถึงจำนวน 21 ตัว แบ่งออกเป็น SET จำนวน 10 ตัว ในขณะที่ตลาด mai มีหุ้นค้างท่อที่เตรียมตัวรอจำนวน 11 ตัว ถือว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีหุ้น IPO น้อยเกินไปแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุที่ตลาดหุ้นไทยซบเซาแต่ละวันมีโวลุ่มซื้อขายน้อยมาก 

ในขณะที่หุ้น IPO ตัวก่อนหน้าหลายตัวราคาหลุดจอง ส่งผลให้ทั้งเจ้าของบริษัท ทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดจำหน่ายหุ้น IPO ต้องยอมถอย หรือไม่ก็ต้องยอมยืดเวลาออกไปก่อน เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยหุ้น IPO ตัวก่อนหน้า...

กลับมาถึงเรื่องที่เจ๊เมาธ์บอกว่า ตลาดหุ้น IPO เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งกันว่า มีสาเหตุมาจากเรื่องใดบ้าง..

การกลับมาคึกคักของตลาดหุ้น IPO อย่างแรก น่าจะเริ่มต้นมาจากการที่หุ้นตัวเล็กอย่าง HANN ซึ่งวันแรกของการซื้อขาย (First Trading Day) สามารถปิดราคาได้ที่ 2.12 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.42 บาท จากราคาจองซื้อที่ 0.70 บาท หรือปรับราคาขึ้นไปถึง 202.86% โดยในวันที่ 2 ของการซื้อขายก็ยังสามารถดันราคาขึ้นไปแตะ 2.74 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30% (วิ่งชนซิลลิ่งสองวันติด) 

แม้ว่าในท้ายที่สุดราคาหุ้นของ HANN จะลงมาเคลื่อนไหวที่ราคา 1.40-1.50 ในปัจจุบัน...แต่ก็ยังเป็นราคาหุ้นที่สูงกว่าราคาจองซื้อกว่าเท่าตัวอยู่ดี ส่งผลให้เกิดความคาดหวังหุ้น IPO ที่จะตามมา ถึงจะไม่แรงเท่า แต่ก็น่าจะไม่แย่จนเกินไป...

ต่อมาก็คือ การมีหุ้น IPO หลายตัวเริ่มขยับตัวเพื่อเตรียมเข้าทำการซื้อขายหุ้นวันแรก (First Trading Day) ทั้งนี้หุ้นที่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น SKIN TURBO ONSENS ATLAS MMM 88TH และ MMM ซึ่งกำลังเร่งเตรียมความพร้อมในการเข้าซื้อขายหุ้นวันแรกภายในเวลา 1-2 เดือนนี้ ในขณะที่ MRDIY และ WASH ต่างก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวว่า อยากจะเข้าตลาดภายในปีนี้เช่นกัน

ท้ายที่สุดการกลับมาคึกคักของตลาดหุ้น IPO หนีไม่พ้นไปจากเรื่องของความคาดหวัง ที่มีต่อรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย และ ครม. ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้แม้ว่า รัฐบาลของนายกฯ อนุทิน มีเวลาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งไม่กี่เดือน แต่การเข้ามาในเวลาที่ประเทศไทยไม่มีผู้เล่นให้เลือก เช่นนี้ก็ทำให้รัฐบาลของ “เสี่ยหนู” เปรียบได้ดั่ง “ขอนไม้” ที่ลอยน้ำมาถึง ในขณะที่ไม่ว่าใครที่กำลังจมน้ำอยู่ ก็คงจะต้องคว้าเอาไว้...ดีกว่าไม่มีอะไรเลย 

ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้หุ้น IPO ทั้งหลายต่างต้องเร่งเตรียมตัวเข้าตลาดให้ทันก็ที่ตลาดจะวาย เช่นเดียวกับการตีเหล็กที่ต้องเร่งตีตอนที่กำลังร้อน...เพราะไม่เช่นนั้นจะขึ้นรูปเหล็กตามที่ต้องการไม่ได้

เอาเป็นว่า จากนี้ไปก็คงต้องตามดูว่า สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ โผล่ออกมาที่ละอย่างจะเป็นของจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องความเชื่อมั่นถึงจะมีมากแค่ไหนก็ต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วย ขึ้นชื่อว่า “รัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ต่างก็มาแล้วก็ไป ถ้าทำดีก็มีโอกาสที่จะได้ไปต่อ แต่ถ้าทำตามที่ให้ความหวังไว้ไม่ได้ โอกาสที่จะกลับมาก็คงจะยาก ซึ่งก็เป็นไปตามฝีมือ โอกาสและเวลา 

สำหรับนักลงทุนไม่เหมือนกันนะคะ สำหรับนักลงทุนอย่างเรา...เงินทุนในกระเป๋าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อได้และสำคัญที่สุด ดังนั้น ถ้าจะเชื่ออะไรก็ต้องดูทิศทางลมให้ดี...หาข้อมูลให้มาก ทั้งนี้เพราะเงินทุน ถ้าหมดแล้วก็หมดเลย หมดโอกาสที่จะฟื้นตัว...ไม่มีใครมาเติมให้ใหม่เจ้าค่ะ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์