KEY
POINTS
*** ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “การชิงเล่ห์ชิงเหลี่ยม” เพื่อผลประโยชน์ระหว่างคนในตระกูล ที่เจ๊เมาธ์เคยอ่านแค่ในนวนิยายมาตั้งแต่ สมัยเจ๊เป็นเด็ก จะเกิดขึ้นมาได้จริงๆ จากกรณีของ “ศึกสายเลือด” ในกลุ่มผู้ถือหุ้นของ บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT ทายาทสายตรงรุ่น 2 ของ “ท่านผู้หญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งเครือดุสิตธานี ซึ่งทวีความเข้มข้นตั้งแต่ต้นปี 2568
ก่อนที่ล่าสุดจะลุกลามใหญ่โตขึ้นไปจนถึงขั้นของการเตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2568 โดยมีวาระสำคัญที่สุด คือ การพิจารณาอนุมัติถอดถอน “ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท...
ทั้งนี้มรดกที่ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์” ทิ้งไว้ให้ทายาท แม้จะมีเพียง บมจ. ดุสิตธานี ซึ่งทายาทถือหุ้นผ่านทาง บ.ชนัตถ์และลูก ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่นอกตลาดหุ้น...มรดกที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ เหลือไว้ให้ก็ยังมี บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีมูลค่าพอๆ กันกับ บมจ. ดุสิตธานี ด้วยเช่นกัน
มาทำความรู้จักโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ บมจ. ดุสิตธานี ว่าทำไมถึงมีความสามารถที่จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในครั้งนี้ได้
ทั้งนี้...พบมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 กลุ่ม ที่มีสัดส่วนในการถือหุ้นรวมกันมากถึง 60% ประกอบไปด้วย บ.ชนัตถ์และลูก ซึ่งถือหุ้นอยู่ 49.74% บ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 17.09% และ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 4.06% และ เมื่อลงลึกในข้อมูลพบว่า บ.ชนัตถ์และลูก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด รวมถึงเป็นสายตรงของท่านผู้หญิงชนัตถ์ มีผู้ถือหุ้นหลัก 4 ราย ซึ่งประกอบด้วย
1. สายพี่ชายใหญ่ นำโดย “ชนินทธ์ โทณวณิก” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.66%
2. สายลูกสาวกลาง นำโดย “สินี เธียรประสิทธิ์” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.65%
3. สายลูกสาวคนเล็ก นำโดย “สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 21.68%
4. สายกงสี หรือ กองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ถือหุ้นในสัดส่วน 24.99%
ทั้งนี้หมายความว่า เมื่อ CPN และ BBL วางตัวเป็นกลางก็ทำให้ บ.ชนัตถ์และลูก คือ กลุ่มที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการบริหารงานของ DUSIT แต่เพียงผู้เดียว และนั่นก็ยังหมายความว่า หากผู้ถือหุ้น 2 ใน 3 ของ บ.ชนัตถ์และลูก จับมือกัน (ยกเว้นสายกงสี) ก็จะทำให้มีอำนาจขึ้นมาจนกลายเป็นเสียงหลักของ บ.ชนัตถ์และลูก ที่มีอยู่ใน DUSIT นั่นเอง...
ดังนั้น การที่ สินี เธียรประสิทธิ์ ซึ่งถือหุ้น 26.65% และ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งถือหุ้น 21.68% อยู่ใน บ.ชนัตถ์และลูก ทำการจับมือกันจึงทำให้ ชนินทธ์ โทณวณิก ซึ่งถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 26.66% เกิดอาการ “ขาลอย” ขึ้นมาทันที
ส่วนในเรื่องประเด็นของความขัดแย้ง จากการเปิดเผยของ ชนินทธ์ โทณวณิก ที่ระบุว่า ...ทั้งสามคนมีการตกลงที่จะแบ่ง “กองมรดก” ออกเป็น 3 ส่วน โดยทุกฝ่ายตกลงให้ ชนินทธ์ ได้หุ้นทั้งหมดใน บ.ชนัตถ์และลูก ส่วนอีก 2 บริษัทคือ บ.ปิยะศิริ และ บ.ธนจิรัง ต่างแบ่งให้ สินี และ สุนงค์ คนละบริษัทเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังการระบาดของโควิดที่ส่งผลให้ โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิด ก็ทำให้น้องสาวทั้งสองของ ชนินทธ์ เริ่มมีมุมมองในการแบ่งมรดกที่แตกต่างออกไป...
ขณะเดียวกัน...ในฝั่งของ บริษัท ชนัตถ์และลูก ซึ่งขณะนี้ สินี และ สุนงค์ เป็นผู้มีเสียงส่วนใหญ่ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจง โดยระบุว่า งบการเงินของดุสิตธานี มีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องมากว่า 5 ปี จนมียอดขาดทุนสะสมสูงถึง 1,254 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าทุนจดทะเบียนบริษัทที่มีเพียง 850 ล้านบาท
จึงทำให้ บริษัท ชนัตถ์และลูก ซึ่งเคยได้รับเงินปันผลปีละ 80 ล้านบาท ไม่ได้รับเงินปันผลเลยมากว่า 5 ปี ส่งผลให้ DUSIT ต้องเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติถอดถอน “ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท เพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เรื่องความขัดแย้งในกองมรดก...แม้จะเป็นเรื่องของพี่น้อง และคนในตระกูลเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้มีอยู่แค่ในนิยาย แต่ก็ทำให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ. ดุสิตธานี (DUSIT) ได้รับความเสียหาย จากการถือหุ้นของบริษัทที่มีแต่เรื่อง “ฉาว” ที่ไม่มีรายได้ และผลตอบแทนอย่างแท้จริงเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าใครที่ทำอะไรได้ก็รีบจัดการให้มันจบ และให้ไวที่สุดจะดีมากนะคะ
พี่น้องตีกันหรือทะเลาะกันอย่างไร...ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยเลยเจ้าค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย.. เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์