KEY
POINTS
*** ภายหลัง “ร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภา” ที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ยื่นทูลเกล้าฯ ถูกตีกลับด้วยเหตุผลสำคัญที่เกิดจากการติดขัดข้อกฎหมาย ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรยังสามารถเดินหน้าประชุมต่อไป
ขณะเดียวกัน ถึงแม้จะมีชื่อของ นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย เป็นแคนดิเดตนายกฯ ทั้ง 2 คน แต่เจ๊เมาธ์เชื่อว่า หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองแบบสุดวิสัยเกิดขึ้นจริงๆ ก็ดูเหมือนว่าชื่อของ นายอนุทิน มีโอกาสที่จะได้รับการโหวตให้เป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ในการประชุมสภารอบนี้มากที่สุด....
ว่าแต่ถ้าหาก นายอนุทิน สามารถทะลุแนวต้าน ผงาดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย ได้จริง “เสี่ยหนู” จะทำได้อย่างที่เคยหาเสียงเอาไว้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนนี้สำคัญที่สุด!!!
ประเด็นแรก...ต้องรู้กันก่อนว่า การที่ นายอนุทิน จะได้รับการโหวตให้เป็นนายกฯ ได้นั้น จะต้องมี สส.ในสภารับรองอย่างน้อย 50 คนรวมไปถึงจะต้องได้เสียงในการโหวตเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ หรืออย่างน้อย 247 เสียง
แต่เนื่องจากเสียงในมือของ พรรคภูมิใจไทย และ พันธมิตร ที่มีอยู่รวมกันแล้วก็ยังมีไม่ถึง ส่งผลให้ “พรรคประชาชน” กลายเป็นตัวแปรสำคัญ จนเป็นเหตุให้ พรรคภูมิใจไทย ต้องยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นทำ Agreement บันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล (MOA) ร่วมพรรคประชาชน โดยมีสาระสำคัญคือ หลังจากที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี...นายอนุทิน จะต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ขณะเดียวกัน...พรรคภูมิใจไทยก็ให้คำมั่นว่าจะ “ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก” เพื่อสร้างหลักประกันให้การยุบสภาเกิดขึ้นตามแผน
ความหมายตรงตัวก็คือ MOA ที่ว่านี้จะทำให้ นายอนุทิน มีเวลาทำงานในฐานะนายกฯ รัฐมนตรีรวมทั้งสิ้นราว 6-7 เดือนแค่นั้น โดยมี 4 เดือน ในฐานะนายกฯ บวกกับอีก 2-3 เดือนในฐานะรักษานายกฯ ก่อนจะถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
ประเด็นที่สอง...เป็นเรื่องของนโยบายที่ นายอนุทิน และ พรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศเอาไว้ ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ก็ประกอบไปด้วย โครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท พร้อมการยกเลิกหนี้ระยะ 3 ปี ทั้งต้นและดอกเบี้ย และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเช่น โครงการ Landbridge เชื่อมโยงอ่าวไทยและอันดามัน
โครงการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะโดยเปลี่ยนรถเมล์ให้เป็นระบบไฟฟ้าภายใน 3 ปี การยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านนโยบายสาธารณสุขที่ครอบคลุม โครงการ Contract Farming สำหรับเกษตรกรรม และนอกจากนี้ ยังมีโครงการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย
คำถามต่อมาคือ...หาก นายอนุทิน ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ได้จริง จะสามารถทำในสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ได้หรือไม่???
ว่ากันตามตรง นอกจากโครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ที่พอจะทำได้ในแบบด่วนๆ นอกจากนั้น สิ่งที่เจ๊เมาธ์มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา ในการดำเนินการไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ถึงจะเห็นผล
และ นอกจากข้อกำหนดในเรื่องเวลาที่มีเพียงไม่กี่เดือนที่ได้ตกลงกับพรรคประชาชน ล่าสุด...ฝั่งของพรรคเพื่อไทย ยังคงมีความพยายามในการ “เตะสกัด” การขึ้นมาเป็นนายกฯ ของ “เสี่ยหนู” ด้วยการยื่นข้อเสนอว่า หาก นายชัยเกษม ได้เป็นนายกฯ หลังการแถลงนโยบาย ก็พร้อมประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ทันที ซึ่งก็ดูเหมือนว่า จะเข้าทางของพรรคประชาชน ที่ต้องการยุบสภาฯ ในทันทีเช่นกัน...
สรุปง่ายๆ ก็คือ ถึงแม้จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลของ นายอนุทิน ก็จะได้เป็นเพียง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ซึ่งในจังหวะที่การเมืองไทยกำลังอยู่ในวังวนที่ “ไม่มีใครอยากเห็นใครเด่นกว่า หรือ ทำได้ดีกว่า” ก็อาจทำให้การนำเสนอโครงการ ที่ไม่ว่าจะดีหรือมีประโยชน์แค่ไหนก็อาจถูก “แตะสกัด” โดยการ “โหวตคว่ำทุกอย่างที่นำเสนอต่อสภาฯ” ก็เป็นได้
เอาเป็นว่า ถ้าหาก นายอนุทิน ยังไม่ได้รับการโหวตและยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในตอนนี่ ก็คงจะทำได้แค่คิดแต่ทำอะไรไม่ได้ รอเอาไว้...ถ้าได้เป็นนายกฯ ขึ้นมาจริง ก็คงไม่สายเกินไป ที่จะลงมือทำในสิ่งที่วางแผนเอาไว้
เจ๊เมาธ์เชื่อว่า ถ้าได้เป็นนายกฯ ขึ้นมาจริง...คนอย่าง นายอนุทินรวมไปถึงคนของพรรคภูมิใจไทย ก็คงจะไม่โง่จนถึงขั้นไม่รู้ว่าจะใช้ช่องทางใด ถึงจะสามารถทำให้การเป็นนายกรัฐมนตรี และการเป็นพรรคแกนนำในการตั้งรัฐบาล ไม่ต้อง “เสียของ” ไปเปล่าๆ
บอกเลยว่า ในฐานะของรัฐบาล การทำสิ่งดีๆ เพื่อประเทศชาติและประชาชน ถ้าทำได้ดีก็ดีติดตัวไป ...แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือ ไม่ทำ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็คงจะไม่มีใครเลือกพรรคของท่านให้กลับมาเช่นกันค่ะ