KEY
POINTS
ผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จาก "โครงการคนละครึ่งพลัส" ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นมา โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท ที่มาจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน มีเป้าหมายสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 20 ล้านสิทธิ์
“โครงการคนละครึ่งพลัส” ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความคึกคักกับการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเป็นทอดๆ
ผลความสำเร็จ ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 มียอดใช้จ่ายสะสมรวม 33,898.60 ล้านบาท โดยเป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่ายเอง 17,169.40 ล้านบาท และเป็นเงินที่รัฐร่วมจ่าย 16,729.2 ล้านบาท มีจำนวนผู้ใช้จ่ายสำเร็จกว่า 19 ล้านราย จำนวนร้านค้าที่เข้าร่วม 913,497 ราย ที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วทั่วประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมผ่าน Food Delivery Platform กว่า 58,947 ราย ทำให้เม็ดเงินเข้าถึงผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างทั่วถึง ขณะที่มีประชาชนที่ใช้สิทธิ์ครบเต็มจำนวนแล้ว 541,682 ราย
รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า โครงการคนละครึ่งพลัส และมาตรการกระตุ้นอื่นๆ จะช่วยผลักดันให้การเติบโตของ GDP ในไตรมาส 4 ปี 2568 สูงขึ้นถึง 1% จากประมาณการเดิมที่ 0.3-0.4%
จากผลความสำเร็จของโครงการคนละครึ่งเฟสแรก ที่จะสิ้นสุดการใช้จ่าย ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มีการยืนยันจากรัฐบาลว่า เพื่อเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง จะมีการนำ “โครงการคนละครึ่งเฟส 2” เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ในช่วงเดือนธันวาคม 2568 เพื่อให้โครงการต่อเนื่องสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเติมเต็มช่องว่างที่หลงเหลือจากเฟสแรก ที่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ทัน และผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ถูกตัดสิทธิ์จำนวน 239,731 คน เนื่องจากไม่ได้ใช้สิทธิครั้งแรกภายในเวลาที่กำหนด เป็นการขยายความเท่าเทียม ให้กับกลุ่มตกหล่น ที่ไม่สามารถลงทะเบียนหรือใช้สิทธิในเฟสแรกได้ทัน
โดยอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดและกำหนดเบื้องต้นว่า กลุ่มที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการจะได้รับวงเงินเพิ่มเป็น 4,000 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และมียอดใช้จ่ายสะสมที่ใกล้เคียงกับผู้ที่เคยเข้าร่วมมาก่อน
อีกทั้ง จะพิจารณาเงินสนับสนุนเพิ่มเติม ที่มอบให้ร้านค้าที่ผ่านการอบรมและมีคุณสมบัติตามที่กำหนด โดยจะได้รับเงินสนับสนุน 20% ของยอดขาย แต่ไม่เกิน 2,000 บาทต่อร้านค้า โดยมุ่งเน้นไปยังร้านค้าที่เข้าร่วมพัฒนาทักษะดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery ที่มีเงื่อนไขยอดสั่งซื้ออย่างน้อย 5 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงการกระตุ้นกำลังซื้อเข้ากับการยกระดับทักษะผู้ประกอบการ ไปพร้อมกัน
จากการขยายระยะเวลา “โครงการคนละครึ่งพลัส” ออกไปอีก จึงเชื่อว่าเป็นมาตรการสำคัญ ที่จะมาเป็นกันชนภาวะเศรษฐกิจให้กับประเทศ ในระหว่างการการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปี 2569 ที่อาจสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้นได้
ที่สำคัญ ยังสามารถเรียกคะแนนเสียงให้กับรัฐบาล และเป็นความหวังของประชาชน หากเลือกเข้ามาสานต่อโครงการคนละครึ่งต่อไปได้อีก ก็จะช่วยรักษาระดับการบริโภคให้คงที่ ไม่ให้ชะลอตัวจากความกังวลทางการเมืองได้
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,149 วันที่ 16 -19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568