KEY
POINTS
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ควรจะเป็น “หมุดหมายใหม่” ของการบริหารกฎหมายไทย ที่สะท้อนถึงความพยายามของรัฐในการปรับกติกาให้เท่าทันเศรษฐกิจ และพฤติกรรมสังคมยุคใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็น “ความวุ่นวายเชิงนโยบาย” ที่เกิดจากการขาดการเตรียมการของภาคราชการเอง
ทั้งที่ช่วงเวลาระหว่าง “การประกาศ” และ “การบังคับใช้จริง” มีระยะเวลากว่า 60 วัน ซึ่งเพียงพอสำหรับการออก “กฎหมายลูก” หรือประกาศรองต่าง ๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
ทว่ากลับไม่มีหน่วยงานใดเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง จนกฎหมายเริ่มมีผล โดยที่ “กฎหมายลูกยังไม่เกิด” ส่งผลให้ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องเผชิญกับ “สุญญากาศทางกฎหมาย” ที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
ผลลัพธ์คือ ภาพของร้านอาหาร ร้านคราฟต์เบียร์ ผับบาร์ ที่ต้อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตั้งใจจะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ไม่รู้ว่าควรตีความอย่างไร จะขายได้ช่วงไหน จะโฆษณาอย่างไรไม่ผิด หรือแม้แต่จะประชาสัมพันธ์สินค้าตัวเองได้หรือไม่ เพราะ “เส้นแบ่งระหว่างโฆษณา” กับ “ประชาสัมพันธ์” ยังไม่มีใครขีดให้เห็นอย่างชัดเจน
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟต์เบียร์ สะท้อนเสียงของภาคเอกชนไว้อย่างตรงไปตรงมา “กฎหมายหลักประกาศใช้แล้ว แต่กฎหมายลูกที่ควรออกมาควบคู่กันกลับยังไม่เสร็จ” ประโยคนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อกังวลของคนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกในระบบราชการไทย ซึ่งทำงานแบบ “เช้าชามเย็นชาม” ปราศจากความเข้าใจในผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประชาชน
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐเองยังออกมาชี้แจงอย่างสับสน บางฝ่ายบอกว่า “ไม่มีข้อห้ามใหม่” เป็นเพียงการนำคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับเก่ามารวมไว้ในกฎหมายใหม่ แต่บางหน่วยกลับตีความว่า “การบริโภคในเวลาห้ามขาย” ถือเป็นความผิด จนเกิดภาพประชาชนถูกปรับในช่วงเวลาที่เคย “ดื่มได้” ตามความเข้าใจเดิม สร้างความสับสนและความไม่เชื่อมั่นในระบบกฎหมายโดยรวม
ที่น่าข่มขื่นกว่านั้น คือ ความย้อนแย้งของนโยบายรัฐ ในขณะที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย แต่กลับปล่อยให้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกมาทำลายบรรยากาศการจับจ่ายในภาคธุรกิจร้านอาหารและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลทองของการบริโภค
แม้เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะดี เพื่อควบคุมผลกระทบทางสังคมและสร้างสมดุลระหว่าง “เศรษฐกิจ - สุขภาพสาธารณะ” แต่เมื่อกลไกบริหารจัดการล้มเหลว ก็ทำให้กฎหมายที่ควรสร้างระเบียบ กลับกลายเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย
ระบบราชการไทยยังคงติดอยู่ในวังวน ของการทำงานแบบแยกส่วน หน่วยงานหนึ่งออกกฎหมาย อีกหน่วยหนึ่งรอ “คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ” ก่อนเริ่มขยับ ทั้งที่เวลาบังคับใช้กฎหมายมาถึงแล้ว
ความล่าช้าเพียงไม่กี่เดือน อาจทำให้ธุรกิจสูญรายได้มหาศาล และประเทศสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และผู้ประกอบการต่างชาติ
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ จึงไม่ได้สะท้อนปัญหาของ “อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม” เท่านั้น แต่สะท้อนปัญหาของ “ระบบราชการไทยทั้งระบบ” ที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดความรับผิดชอบ และ ขาดการมองภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,148 วันที่ 13 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568