ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงเวลารัฐบาลต้องเอาจริง!

13 มิ.ย. 2568 | 23:00 น.

ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงเวลารัฐบาลต้องเอาจริง! : บทบรรณาธิการ โดยกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4105

ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อยู่ในความตึงเครียด นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะบริเวณ “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต พื้นที่รอยต่อไทย-ลาว-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยฝั่งไทยถูกรุกลํ้าสิทธิอธิปไตย ในเขตอำเภอนํ้ายืน จังหวัดอุบลราชธานี  จนนำมาซึ่งมาตรการของกองทัพบก ลดการปิด-เปิดจุดผ่านแดนถาวร และมาตรการขั้นสูงสุดปิดด่านถาวร ตัดไฟ-ตัดเน็ต หากเกิดการปะทะขึ้นอีก 

พื้นที่ “ช่องบก” ได้รับการยืนยันว่า ยังไม่มีการปักปันเขตแดน  ปัญหาใหญ่ คือ ใช้แผนที่คนละฉบับ ทำให้เส้นแบ่งเขตแดน ต่างกัน จึงมีการทำบันทึกข้อตกลง MOU 2543 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 (ลงนามกันเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2543) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดน ระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดน

แม้ว่าฝั่งกัมพูชาต้องการจุดชนวน นำข้อพิพาทครั้งนี้ ขึ้นสู่ศาลโลก (ICJ) แต่ได้รับการยืนยันจากไทยว่า “ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก”  
ท่าทีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัต รนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายํ้าความชัดเจนว่า ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลนี้ในกรณีดังกล่าวพร้อมแถลงยืนยันจุดยืนของรัฐบาลต่อประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นแนวทางสันติวิธีผ่านการเจรจาและการทูต

พร้อมประกาศความพร้อมจัดประชุม ผ่านการเจรจาตามกรอบคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เท่านั้น ทั้งด้านนโยบาย ความมั่นคง และ การทหาร ลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน การประสานงานกับกัมพูชาในระดับผู้นำและฝ่ายทหาร ส่งผลให้สถานการณ์คลี่คลายลง รวมถึงมีการปรับกำลังพลให้กลับสู่ภาวะปกติ

มองว่า การเจรจา JBC วันที่ 14 มิถุนายน2568 นับเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนข้อตกลงเดิม และหาทางออกที่ยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างการรักษาสิทธิอธิปไตย และการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ แม้การเจรจาอาจจะไม่จบลงในครั้งเดียวแต่ ได้เข้าสู่ข้อตกลงที่จะนำไปสู่ การทำความเข้าใจในเขตแดนที่ชัดเจน การปักปันเขตแดน ให้ชัดเจน  เพื่อให้ประชาชน ตามแนวชายแดนทั้งสองฝั่ง ได้อยู่อาศัยกันอย่างสงบสุข 

ฝ่ายรัฐบาลไทยต้องเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา ให้มีความชัดเจนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กล้าหาญ และ จริงใจ เพื่อให้อีกฝั่งเข้าใจขอบเขตอำนาจอธิปไทยของไทยว่าอยู่ตรงไหน และต้องลงมือเสียทีกับการปักปันเขตแดนให้ชัด เพราะปัจจุบันต่างฝ่ายต่างถือแผนที่คนละฉบับ

ไทย ใช้มาตรส่วน 1 : 50,000 ซึ่งเป็นแผ่นที่ที่มีความละเอียด หากขีดเส้น 1 เส้น จะมีความกว้างเพียง 50 เมตร ต่างกันถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับแผนที่กัมพูชาใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ค่อนข้างหยาบโอกาสความคลาดเคลื่อนมีสูง หรือ ขีดเส้น 1 เส้น ลงไปในแผนที่ จะมีความกว้างถึง 200 เมตร 

ดังนั้น จึงอยากเห็นการหาทางออกร่วมกันของทั้งสองประเทศ  ตามกติกาที่เคยบันทึกไว้!!!

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,105 วันที่ 15 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568