การตัดสินใจของรัฐบาลที่จะโยกงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท จากโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางนโยบายที่น่าสนใจ แต่สิ่งสำคัญคือ การใช้งบประมาณก้อนใหญ่นี้ต้องไม่กลายเป็นเพียงการ “แบ่งเค้ก” ทางการเมืองให้กับพรรคต่างๆ ที่กำกับดูแลกระทรวง
เหตุผลที่รัฐบาลยกมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีนํ้าหนักและสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 2.5% ในปี 2567 ซึ่งตํ่ากว่าเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติที่ 5% มาก
และที่สำคัญคือ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การชะลอตัวของการลงทุน การลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน และผลิตภาพการผลิตที่ยังอยู่ในระดับตํ่า
ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ทำให้แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยแรงงานลดลง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจทำให้ไทยไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น มาเป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานระยะยาว จึงเป็นทิศทางที่ถูกต้อง
ในบรรดาโครงการที่น่าสนใจ การลงทุนด้านการบริหารจัดการนํ้าถือเป็นตัวอย่างที่ดี โดยสำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติเสนอโครงการกว่า 20,000 รายการ วงเงิน 1.09 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนานํ้าอุปโภคบริโภค การป้องกันนํ้าท่วม และการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งนํ้า ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาพื้นที่นํ้าแล้งนํ้าท่วมซํ้าซากที่สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง
หากดำเนินการสำเร็จ จะช่วยให้ 2.99 ล้านครัวเรือนได้รับประโยชน์ มีพื้นที่รับประโยชน์ 2.53 ล้านไร่ และสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมถึง 1.28 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังสร้างการจ้างงาน 250,000 คนต่อเดือน ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ที่ยั่งยืนกว่าการแจกเงิน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริง อยู่ที่การคัดเลือกและดำเนินโครงการ ซึ่งต้องมีความโปร่งใส และตอบโจทย์การพัฒนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการแบ่งงบประมาณให้กับกระทรวง หรือ พรรคการเมืองที่กำกับดูแล การกำหนดให้หน่วยงานต้องเสนอโครงการภายในเดือนพฤษภาคม และผ่านการพิจารณาหลายชั้น เป็นกลไกที่ดี แต่ต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างเข้มงวด
รัฐบาลต้องตระหนักว่า งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทนี้ไม่ใช่เงินที่หามาได้ง่าย หากใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง จะเป็นการเสียโอกาสครั้งสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ทุกโครงการที่ได้รับอนุมัติต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน มีการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือต้องตอบโจทย์การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนจากนโยบายประชานิยมมาสู่การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เป็นก้าวที่ถูกต้อง แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และมองประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่ไทยจะก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางและวางรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งสำหรับคนรุ่นต่อไป
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,100 วันที่ 29 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568