การเตือนภัยของ “หมอวี-นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย” ว่า ระบบสาธารณสุขไทยจะล่มสลายในอีก 3 ปี ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้เหตุผล แต่เป็นสัญญาณเตือนที่มาจากข้อมูลจริงที่น่าตกใจ เป็นเสียงร้องจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ที่เห็นปัญหาจากระยะใกล้ และเข้าใจความซับซ้อนของระบบสาธารณสุขอย่างลึกซึ้ง
เมื่องบประมาณสำหรับโรงพยาบาลที่เคยมี 8 หมื่นล้านบาท กำลังหายไปปีละ 2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้โรงพยาบาล 218 แห่งจาก 900 แห่งติดลบแล้ว และอีก 91 แห่งเหลือเงินไม่ถึงเดือน สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่สะสมมาตั้งแต่หลังโควิด-19 ที่ระบบต้องแบกรับภาระเกินกำลัง ทั้งการรักษาผู้ป่วยและการลงทุนในมาตรการป้องกันโรคระบาด
ปัญหาที่เผชิญในวันนี้ จึงเป็นผลจากการปฏิเสธความจริงที่ว่า ระบบบัตรทอง ที่เริ่มต้นมายาวนานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่และเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่การบริหารจัดการและการปรับปรุงระบบไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ต้นทุนการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า และโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปสู่สังคมสูงอายุ
ที่น่าวิตกยิ่งกว่าคือ ท่าทีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังปฏิเสธการมีอยู่ของปัญหา เมื่อหมอวีออกมาเตือน หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับออกมาแย้งว่า “ไม่มีปัญหาระบบสาธารณสุขไม่ล่ม” การปฏิเสธความจริงไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่กลับทำให้การแก้ไขล่าช้า จนอาจไม่ทันการณ์ การไม่ยอมรับปัญหาเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการแก้ไข
แม้รัฐบาลจะเพิ่มงบกระทรวงสาธารณสุขเป็น 1.77 แสนล้านบาท และกองทุน 30 บาทได้รับงบสูงสุดในประวัติศาสตร์ 2.65 แสนล้านบาท แต่การเพิ่มงบ 3.3% นี้ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่มีอยู่ เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มงบในอัตรานี้อาจเท่ากับการอยู่นิ่งทางเศรษฐกิจ
ปัญหาแท้จริงอยู่ที่ระบบการชำระเงินจาก สปสช. ที่ไม่เต็มจำนวน ทำให้โรงพยาบาลต้องใช้เงินบำรุงไปอุดช่อง ระบบการคิดค่ารักษาแบบ “เหมาจ่าย” ที่กำหนดไว้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว อาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนการรักษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะยาใหม่ที่มีราคาแพง เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และการรักษาโรคซับซ้อนที่ต้องใช้ทรัพยากรมาก
ทางออกไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องปฏิรูประบบให้เป็นรูปธรรม เริ่มต้นด้วยการยอมรับปัญหา ปรับปรุงระบบการชำระเงินให้ทันเวลาและเต็มจำนวน ทบทวนอัตราค่ารักษาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และสำคัญที่สุดคือการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่านี้
การปฏิรูปครั้งนี้จำเป็นต้องมีการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องมีกระทรวงการคลัง ในการจัดสรรงบประมาณ สำนักงบประมาณในการวางแผนระยะยาว และที่สำคัญคือ การมีส่วนร่วมของสังคมในการเข้าใจและสนับสนุนการปฏิรูป
เมื่อสุขภาพของประชาชน 70 ล้านคน เป็นเดิมพัน หากยังมองปัญหานี้เป็นเรื่อง “การเมือง” หรือยังคิดว่า การเพิ่มงบเล็กน้อยจะแก้ปัญหาได้ ระบบสาธารณสุขที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และเป็นต้นแบบให้หลายประเทศ อาจพังทลายลงจริงๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การแก้ไขต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,102 วันที่ 5 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568