วัฒนธรรมที่ใช่ในวันที่โลกเปลี่ยน ธุรกิจครอบครัวจะไปต่ออย่างไร

13 มิ.ย. 2568 | 21:52 น.

วัฒนธรรมที่ใช่ในวันที่โลกเปลี่ยน ธุรกิจครอบครัวจะไปต่ออย่างไร : Family Business Thailand รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย [email protected]

ธุรกิจครอบครัวมักมีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและมีเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากวิสัยทัศน์ รูปแบบการบริหาร และค่านิยมของผู้ก่อตั้ง และสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง วัฒนธรรมเหล่านี้ทำหน้าที่หล่อหลอมคนในองค์กรให้มีเป้าหมายร่วมกัน เสริมสร้างความภักดีและสร้างทีมงานที่มั่นคง ซึ่งหากได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งย่อมเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ อันเป็นรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ดีในโลกธุรกิจที่พลิกผันอย่างรวดเร็วจากกระแสดิจิทัล การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค วัฒนธรรมที่เคยยึดถือกันมาอาจกลายเป็นข้อจำกัด หากไม่สามารถปรับให้สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ใหม่ๆได้ โชคดีที่วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่สิ่งลึกลับเกินจะเข้าใจ หากผู้นำสามารถเรียนรู้ที่จะวัดผลและบริหารจัดการอย่างมีหลักการ วัฒนธรรมก็จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่โอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัฒนธรรมที่ใช่ในวันที่โลกเปลี่ยน ธุรกิจครอบครัวจะไปต่ออย่างไร

Spencer Stuart ในฐานะที่ปรึกษาด้านผู้นำและการพัฒนาองค์กรที่ทำงานร่วมกับธุรกิจครอบครัวมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 60 ปี ได้ยืนยันผ่านประสบการณ์ว่า วัฒนธรรมองค์กรคือหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจ และในช่วงเวลาแห่งการเติบโต การเปลี่ยนทิศทาง หรือเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก ผู้นำจำเป็นต้องใส่ใจอย่างจริงจังต่อการทำความเข้าใจและบริหารวัฒนธรรม อย่าหลงคิดว่าวัฒนธรรมควรหยุดนิ่ง เพราะเมื่อโลกเปลี่ยน

หากวัฒนธรรมยังยึดติดกับอดีต องค์กรก็อาจไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อสำรวจว่าธุรกิจครอบครัวจะสามารถปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ที่เป็นหัวใจของตนได้อย่างไร ทีมงาน Spencer Stuart ได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เจ้าของและผู้นำจาก 10 ธุรกิจครอบครัวในยุโรปและตะวันออกกลาง พร้อมรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยเชิงลึกด้านวัฒนธรรมองค์กร และประสบการณ์จากการให้คำปรึกษาในกระบวนการเปลี่ยนผ่านองค์กรมากมาย

จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ พบว่าธุรกิจครอบครัวจำนวนมากมีความสามารถโดดเด่นในการนิยามเป้าหมาย (Purpose) ขององค์กรได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น หากยังเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดและรักษาคนเก่ง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนมองหางานที่มีความหมายมากกว่าผลตอบแทน เป้าหมายที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับงานในแต่ละวัน และเชื่อมโยงองค์กรเข้ากับบทบาททางสังคมที่เป็นรูปธรรม

ในหลายกรณีจุดมุ่งหมายขององค์กรเหล่านี้ยังหยั่งรากลึกอยู่บนค่านิยม (Values) ที่ครอบครัวได้ยึดถือและส่งต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ค่านิยมของครอบครัวเปรียบเสมือนกาวใจที่เชื่อมโยงคนในครอบครัว ธุรกิจ และพนักงานเข้าไว้ด้วยกัน โดยสะท้อนออกมาผ่านปรัชญา วิธีคิด และวิธีทำงานที่กลายเป็นเอกลักษณ์ขององค์กร หลายบริษัทจึงได้กำหนดค่านิยมหลัก (Core Values) ไว้อย่างชัดเจน เพื่อใช้เป็นหลักคิดในการตัดสินใจทั้งในระดับกลยุทธ์และชีวิตการทำงานประจำวัน

แม้ค่านิยมและวัฒนธรรมจะสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ค่านิยมคือหลักการหรือความเชื่อที่ยึดถือร่วมกัน ขณะที่วัฒนธรรมคือการแสดงออกผ่านพฤติกรรมจริงในองค์กร ซึ่งต้องสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้สอดรับกับทิศทางใหม่ของธุรกิจได้เสมอ

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในองค์กรที่ยึดมั่นกับวิถีเดิมมายาวนาน แต่หากธุรกิจต้องการอยู่รอด เติบโต และแข่งขันได้ในระยะยาว วัฒนธรรมก็ต้องเปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างยืดหยุ่น ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้นำกล้าเป็นแบบอย่าง มีความกล้าที่จะตั้งคำถามกับวิธีเดิมๆ และพร้อมเปิดทางให้กับแนวทางใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิม

ผู้นำจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้จุดประกายการเรียนรู้ภายในองค์กร ส่งเสริมการเปิดรับมุมมองใหม่ เปิดพื้นที่ให้คนทุกระดับได้มีส่วนร่วม และสร้างสภาพแวดล้อมที่หล่อเลี้ยงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อวัฒนธรรมและกลยุทธ์สามารถเดินเคียงข้างกันได้อย่างกลมกลืน องค์กรก็จะมีพลังในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในทุกยุคสมัยต่อไป

 

ที่มา: Spencer Stuart. (2020).Culture in Family Business: Embracing change while retaining what matters. https://www.spencerstuart.com/research-and-insight/culture-in-family-business ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.famz.co.th