ทำไม “สัญลักษณ์ความสำเร็จ” จึงสำคัญต่อธุรกิจครอบครัว

09 พ.ค. 2568 | 22:14 น.

ทำไม “สัญลักษณ์ความสำเร็จ” จึงสำคัญต่อธุรกิจครอบครัว : Family Business Thailand รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย [email protected]

ธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืนผ่านกาลเวลามาหลายชั่วอายุคน มักซ่อนสิ่งของที่เป็น “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ” (Artifacts) เอาไว้เป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เรื่องราวการต่อสู้ของบรรพบุรุษ หรือแม้แต่พิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนาน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุไร้ชีวิตเท่านั้น แต่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างยุคสมัยที่ช่วยธุรกิจรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมให้คงอยู่ แม้โครงสร้างการทำงานหรือรูปแบบผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็ตาม

“สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”  คืออะไร คือสัญลักษณ์ที่สานสายสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรกับรากเหง้าในอดีตอย่างแท้จริง เช่น

· เครื่องมือช่างไม้เก่า ที่ยังคงร่องรอยฝีมือของรุ่นปู่เมื่อครั้งสร้างเฟอร์นิเจอร์ชิ้นแรก

· ภาพถ่ายสีซีดจาง วันเปิดร้านซึ่งบันทึกรอยยิ้มของรุ่นพ่อกับลูกค้าคนสำคัญ

· ธรรมเนียมการประชุมครอบครัว ทุกปีในห้องเดิมที่ผนังเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนแผนธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น

ทำไม “สัญลักษณ์ความสำเร็จ” จึงสำคัญต่อธุรกิจครอบครัว

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางวัฒนธรรม ที่คอยเตือนใจทุกคนว่า แม้โลกจะหมุนไปเร็วแค่ไหน แต่ธุรกิจนี้ยังคงเดินหน้าบนเส้นทางที่รุ่นก่อนปูเอาไว้ต่อไป

ทำไม “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”  จึงสำคัญนัก

1. สร้างตัวตนให้ธุรกิจ: ร้านเบเกอรี่อายุ 100 ปีในอิตาลียังใช้สูตรแป้งดั้งเดิมและเล่าเรื่องรุ่นปู่ที่เริ่มจากรถเข็นขายขนม ทำให้พนักงานรุ่นใหม่เข้าใจว่า ความใส่ใจในรสชาติ คือหัวใจของธุรกิจ โดย Matt Allen ผู้เชี่ยวชาญจาก Kellogg School of Management ได้อธิบายว่า “สิ่งของเหล่านี้คือเครื่องเตือนใจว่า พวกเขาเป็นใคร และธุรกิจนี้ยืนหยัดมาได้อย่างไร” นั่นเอง

2. ลดความขัดแย้งระหว่างรุ่น: เมื่อรุ่นลูกอยากเปลี่ยนกลยุทธ์ แต่รุ่นพ่อแม่อยากรักษาแบบเดิมไว้ การมีห้องประชุมเก่าที่รุ่นปู่สร้างไว้ช่วยให้ทุกคนย้อนนึกถึงความตั้งใจแรกเริ่ม และตระหนักว่าทะเลาะกันได้แต่ต้องไม่ทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างมา

3. ต่อยอดนวัตกรรมโดยไม่ตัดราก: บริษัทเฟอร์นิเจอร์นำเครื่องมือช่างไม้เก่ามาตั้งโชว์ในร้าน พร้อมป้ายข้อความว่า“นี่คือสิ่งที่ปู่ใช้... ส่วนรุ่นคุณต้องคิดค้นต่อไป” แสดงให้เห็นว่าของเก่าไม่ได้ขัดขวางนวัตกรรม แต่เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างสิ่งใหม่บนพื้นฐานเดิมได้

ข้อควรระวัง: อย่าหลงใหลของเก่าจนลืมอนาคต

การยึดติดกับรูปแบบเดิมเกินไปอาจทำให้ธุรกิจล้าหลังและเสียโอกาสใหม่ๆได้ หลายธุรกิจเข้าใจผิดว่าการรักษามรดก คือการเก็บทุกอย่างไว้เหมือนเดิมทุกประการ ทั้งที่จริงแล้วความยั่งยืนอยู่ที่การรู้จักเลือกเก็บแก่นแท้และปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับยุคสมัย เช่น รักษาค่านิยม “คุณภาพเหนือปริมาณ” แต่เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าราคาประหยัดจำนวนมาก มาเป็นสินค้าพรีเมียมจำนวนน้อยที่เน้นการออกแบบและวัสดุระดับสูงแทน เป็นต้น

เริ่มต้นอย่างไร

· ค้นหาสิ่งของทรงคุณค่าในองค์กร โดยเลือกสิ่งของที่เล่าเรื่องได้ อาทิ ของที่เชื่อมโยงกับความสำเร็จ วิกฤต หรือความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น สมุดบัญชีเล่มแรก ของที่ระลึกจากลูกค้าคนสำคัญ

· สร้างพิธีกรรมส่งมอบสิ่งของระหว่างรุ่น พร้อมเล่าเรื่องราวให้คนรุ่นใหม่ฟัง เช่น รุ่นพ่อมอบกุญแจโกดังเก่าให้รุ่นลูก พร้อมกล่าวว่า “นี่คือกุญแจที่ปู่ใช้เปิดร้านวันแรก ลูกต้องใช้มันสร้างโอกาสใหม่ๆต่อไป”

· ใช้สิ่งของเป็นเครื่องมือสื่อสารกับลูกค้า เช่น โพสต์ภาพเครื่องมือเก่าในโซเชียลมีเดีย พร้อมแคปชั่น "รู้ไหม..ที่นั่งในร้านเราทุกตัวสร้างจากเลื่อยเส้นนี้มาตั้งแต่ปี 2500"

สุดท้ายแล้วโปรดตระหนักว่าธุรกิจครอบครัวที่เก่งที่สุด ไม่ใช่ธุรกิจที่ปฏิเสธอดีตหรือยึดติดกับมันแบบงมงาย แต่คือธุรกิจที่รู้จัก“เลือกเก็บ” และ “ปล่อยวาง” เป็นต่างหาก

 

ที่มา : Sussman, A. L. (Feb 1, 2025). How “Artifacts” can help a family business define its legacy.Kellogg Insight. Retrieved from https://insight.kellogg.northwestern.edu/article/artifacts-family-business-legacy