วานนี้ได้พระชัยวัฒน์มาจากตะเข็บชายแดนมาองค์หนึ่ง ชื่อพระชัยวัฒน์ตะละกุล ของพระเดชพระคุณพระราชอุดมมงคล เอหม่อง อุตตะมะรัมโภ หล่อโลหะทรงเครื่องจักรพรรดิราชฝ่ายมอญ จึงสมควรแก่เวลา ถอดรหัส อรรถกถาว่าด้วยเรื่องสนุกของพหุสังคมในตำนาน
ย้อนไปในวัน_เวลารบทัพจับศึก หลายครั้งได้ยิน บรรพชนฝ่ายเราซึ่งกรำศึกรักษาแผ่นดิน [สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้างก็ต้องยอกรไหว้บูชาคุณในความอุตสาหะและพยายามสุดใจสุดแรงในการปกป้อง_พิทักษ์ แลรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย sovereignty และอิสรภาพแห่งดินแดน]
ท่านเรียกว่า ‘ทัพพม่ารามัญ’ ยกมา ก็จะพาให้เข้าใจไปในภาพรวม_รวมเหมาเอาว่า พม่ารามัญนี่พวกเดียวกัน ไม่มีความต่างแตกกัน เหมือนเยาวชนสมัยนี้เข้าใจสหภาพเมียนม่าร์ประกอบด้วยชนพม่าเท่านั้น และทุกคนในสังคมนั้นเหมือนๆกันหมด คล้ายร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่กระจายไปทั่วแดนมีมาตรฐานและคุณภาพหนึ่งเดียว
อันว่าม่านหรือพม่า เปนคนละเผ่าพันธุ์กับมอญหรือรามัญ รามัญผู้ตั้งอาณาจักรในสมัยสี่ห้าร้อยปีก่อนอยู่ใกล้กัน พม่าอยู่เมืองตองอู มอญอยู่เมืองหงสาวดี มีความเปนสหภาพ_union แบบหลวมๆ พระเจ้าตองอูเมงกะยินโยปลดแอกชนพม่าจากไทยใหญ่ ปราบดาขึ้นเปนปฐมกษัตริย์วงศ์พม่าตองอู อภิเษกสมรสด้วยพระนางราชเทวีชาวมอญ
วันที่พระราชบุตรกุมาราจะเสด็จออกพระครรภ์โภทร มาสู่ภพมนุษย์นั้น เกิดแสงประหลาดวับวาบจับขึ้นที่ประดาเครื่องสูง ทั้งราชวัตรฉัตรจามร บังสูรย์บังแทรกทั้งฉายไปจับคมหอกคมดาบทั้งนั้นยังให้หอศาสตราวุธ พระราชวังตองอูสุกเรืองสกาวขึ้นน่าพิศวงมีพระประสูติกาลแล้ว ได้พระราชโอรสทารก มีลิ้นดำเด่นเปนปานมงคล พระราชทานเฉลิมพระนามว่า “ตะเบงชเวตี้_สุวรรณเอกฉัตร”
ทรงมีพละกำลังมากแต่เด็กพระวรกายงามสันทัด พระฉวีผ่องรัศมี และมีจิตใจห้าวหาญ ศึกษาวิชาปกครอง ม้า ช้าง แลศาสตราพิชัยสงครามจนแตกฉานคล่องเเคล่วค่าที่ทรงมีฐานะเปนลูกครึ่ง พม่า_รามัญ จึงทรงมีความตั้งมั่นจะรวมแผ่นดิน เปนปึกแผ่นหนึ่งเดียว
ครั้งชนมายุสิบสี่ย่างสิบห้า เสด็จยาตราทัพเกียรติยศนำกองกำลังทหารม้ากระพรวนทอง 500 นาย หักด่านเมืองมอญหงสาวดี ขึ้นนมัสการพระมหาธาตุมุเตาจมูกร้อน ประกอบการพระราชพิธีเจาะพระกรรณตามแบบธรรมเนียมพม่าที่เมืองมอญ ท่ามกลางความครั่นคร้ามงุนงงต่อกระทำกฤษดาภินิหารสามคำรบดังได้เคยเล่าแล้ว ว่ากันว่าการพระราชนิยมนั้นผสมผเส ค่อนไปทางมอญ คนออกแบบคอสตูมจึงว่าให้ พระกุณฑลตุ้มหูเปนแบบมอญ ทรงมุ่นมวยพระเกศาแบบพม่า บางเวลาปล่อยพระเกศากะลาครอบยามออกศึกแบบมอญ
ครั้นแล้วก็เสด็จยาตราทัพเข้าพิชิตเมืองมอญหงสาวดีตีหักเอาได้สำเร็จเมื่อพระชนมายุยังไม่สองรอบดี แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ย้ายครัวพม่าตองอูมาอยู่ที่หงสาวดีเปนราชธานีใหม่ และก็ทรงได้รับการเฉลิมพระนามเอาใหม่ว่า พระเจ้า ‘หงสาวดี’_ลิ้นดำ ซึ่งสร้างความสับสนต่อไปว่า_ตกลงหงสานี่เมืองพม่ารึเมืองมอญ?
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ก็ได้ทรงเฉลยในทางปฏิบัติแล้วว่าเปนเมือง(เคย) มอญที่ครองโดยพม่า และยามยาตราทัพจะมาเอากรุงศรีอยุธยานั้น เกณฑ์ทัพมอญใต้อาณัติปกครองมาด้วย บรรพชนไทยจึงเอ่ยปากว่า “ทัพพม่า_รามัญ” ยกมาครั้งนี้ ดั่งสายน้ำบ่า_มีกำลังเหลือคณานับ รวมคำพม่าและมอญ (รามัญ) เอาไว้ด้วยกันสะท้อนว่าชนในทัพนั้นมีทั้งพม่าแลมอญ ส่วนตำนานเมืองมอญ ที่ได้ชื่อว่าหงสาวดีนั้นมีว่า แต่เดิมทีย่านหงสานั้นเป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีเสาหินศิลายาว 7 ศอก 5 กำ หลักเขตโบราณปักไว้แต่ดึกดำบรรพ์ ยามน้ำขึ้นก็เหลือเพียงเสาลอยเด่นอยู่กลางน้ำ ครั้นว่าวันหนึ่งมีหงส์ผัวเมียมาเล่นน้ำ ประสพเหตุน้ำขึ้นไม่มีที่ไป หงส์ผู้จึงขึ้นไปจับเสาไว้อย่างเกาะคอน หงส์ตัวเมียไม่มีที่เกาะ จึงบินไปจับเกาะอยู่บนหลังตัวผู้ เหตุการณ์นี้พระพุทธองค์ทรงเห็นจึงมีพุทธทำนายว่าที่ตรงนี้นั้นจะเปนเมืองยิ่งใหญ่ เปนศูนย์กลางเผยแผ่พุทธศาสนาสืบไป ทีนี้ด้วยเหตุว่ามีหงส์คู่มากระทำลักษณาการดังนี้จึงขานชื่อเมืองว่า หงสา_วดี คือ เมืองที่มีการบอกหลักบอกเขตโดยหงส์!
ที่นี้จะแสดงรูปให้เห็นว่า นกหงส์ฝรั่งชนิดว่าบินปร๋อๆบนทะเลอากาศนั้น มันขี่กันระหว่างบินก็ได้ดังนี้ เช่นนั้นแล้วพวกหงสาวดีผู้นิยมรูปหงส์ในคติดังกล่าวจึงไปสร้างเมืองสร้างถาวรวัตถุที่ใดๆ จึงเอาเสาหินปักเขตลงไปเสมอและทำรูปหงส์คู่ขี่กันเกาะไว้ นัยยะว่าตรงนี้ล่ะหนาคือ แดนหงสา_วดีอันเราท่านพบเห็นได้บ่อยนักในวัดวาอาราม
ตานี้จะว่าถึงพระชัยวัฒน์ตะละกุล ซึ่งพระราชอุดมมงคล ผู้ภิกษุมอญ ได้จัดสร้างขึ้นเปนกริ่งจักรพรรดิราชแต่สามทศวรรษก่อนนั้น ทรงเครื่องจักรพรรดิราชฝ่ายมอญ (ตะละกุล) อย่างไรตรงตามรูปแบบที่ฝ่ายคอสตูมของม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงมอบหมายให้ทีมถ่ายทำภาพยนต์ สุริโยทัย ค้นคว้ามิผิดเพี้ยน
จากรูปที่ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์ในบทพระเจ้าหงสาวดีตะเบงชเวตี้สรวมทรงอยู่นี้ เปนเกล็ดพญาวิหคอย่างขนนกยูงมยุราอันเปนเครื่องทรงเกราะทองร้อยตรึงให้นักรบชั้นผู้นำขยับตัววาดท่ายุทธนาธิการตามพิชัยสงครามพยูหะได้คล่องแคล่ว ไม่รัดรึงให้จำกัดการเคลื่อนไหวลีลายุทธอย่างเกราะถักฝรั่งอัศวินได้เลย
ถามว่าพระเจ้าหงสาวดี ลิ้นดำนี้ เมื่อทรงราชย์แล้วเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัตรว่ากระไร ? ตอบว่า เมงตะยาชเวตี้แปลว่า_พระมหาธรรมราชาฉัตรทองคำ คำว่าเมงตะยานี้_ไทยเรียกตามเราคุ้นว่ามังตรา เปนผู้ปรากฎในตำนานต่างๆฐานว่าเปนผู้ที่แม้นใครดีกับเรา_เราจักดีตอบเปนร้อยเท่า และ vice versa แม้ว่าผิดต่อเราแล้วไซร้ อันบ้านเรือนอารามทองเราปลูกให้_เราจะเผาทิ้งเสียให้ราบ!
ท่านผู้นี้เปนอะไรกับบุเรงนอง_ผู้ชนะสิบทิศ? ตามตำราพม่าว่า บุเรงนองเปนลูกคุณแม่นมที่ถวายงานน้ำกระษีรธารแด่องค์มังตราคราเมื่อยังเปนพระราชบุตร มีชนมายุห่างกว่าพระราชกุมารมิเท่าไร ได้ร่วมสำนักศึกษาเล่าเรียนกันมาและภายหลังได้แต่งสมรสด้วยพระพี่นางของมังตราราชบุตร จีงมีฐานะทั้งเปนขุนศึกคู่รบและพระญาติพระดอง พระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำ ตะเบงชเวตี้ ใช้ชีวิตกรำศึกออกยึดเข้าตีเมืองอาณาจักรต่างๆให้เข้าเปนข้าของขัณฑสีมาตามพระราชปณิธานรวมชาติอันแน่วแน่แต่เยาว์มา เสด็จไกลถึงอารกันยะไข่ชายอ่าวเบงกอล ท้ายแล้วมิได้ทรงปกครองในทางรัฐกิจด้วยมุ่งหวังพิชัยสงครามการยุทธโยธิน บางตำราว่า ทรงเสียพระสติด้วยทรงหลงในสุราองุ่นของฝ่ายกองอาสารบรับจ้างโปรตุเกสปืนไฟบ้าง หลงในสเน่หาแก่ทหารหนุ่มต่างชาติร่วมทัพบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องจะเกิดอคติแก่ท่านด้วยว่า sex/gender/sexuality มันมีนัยยะต่างกันในมนุษยชาติที่เกิดมารูปเพศหญิงชาย คนเกิดมามีอวัยวะเครื่องหนึ่ง อาจวางลักษณะตัวเปนอีกหนึ่ง เพื่อจะมีความภิรมย์สมโยคกับอีกหนึ่งในสภาพคนละอารมณ์ เปนเรื่องธรรมดาที่ซับซ้อนของดำฤษณาอารมณ์มนุษย์ เซเปี้ยน โฮโม
เอาเปนว่าการณ์ดังนั้นทำให้ เกิดความไม่มั่นคงในราชสำนัก ขุนนางมอญกู้ชาติสบโอกาส วางกลหลอกล่อท่านแล้วปลงพระชนม์เสีย
หากกิติคุณในทางพม่าสรรเสริญท่านผู้แกล้วกล้านี้ยกขึ้นเปน “นัต” หรือ ผีฟ้าหลวงเทพ ลำดับที่ 37 สถิตอยู่ที่เขาภูตหลวงโปปา ทางเหนือของอดีตราชธานีมัณฑะเลย์ ข้างฝ่ายบุเรงนองคู่บารมีซึ่งถูกกล่าวหา(อย่างมิใคร่เปนธรรม)ว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารพระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำ ก็มิได้รับการสรรเสริญเชิญขึ้นที่สถิตอย่างวิญญาณเทพภูตหลวงแต่อย่างไร คงไว้แต่พระเกียรติคุณฝ่ายบารมีปรีชางานรัฐประศาสนศาสตร์สยบความวุ่นวายและบริหารแก้ความระส่ำระสายของประดาเมืองประเทศราชสิบทิศเท่านั้น ต่อข้อถามที่ว่าระบบ casting เลือกตัวละครแสดงตามบทบาทนั้นเลือกอย่างไร ทีมงานละโว้ภาพยนต์ท่านหนึ่งกระซิบตอบเจาะจงในกรณีนี้ว่า_ ริมฝีปาก_ ดูริมฝีปากนัตตะเบงชะเวตี้ที่เปนหลักฐานรูปลักษณ์เดียวของท่านที่เหลืออยู่กับริมฝีปาก ศุภกิจ ผู้สวมบท เหมือนกันไหมเล่า!?!
ท้ายนี้มาถีงจุดสำคัญที่ว่า คำอธิษฐานที่พระมหาธาตุมุเตาคราวตะเบงชะเวตี้ผู้เยาว์กระทำสัจจะตั้งจิตขอพรคราวไปทรงเจาะพระกรรณท่ามกลางวงล้อมกองทหารมอญนั้นว่าอย่างไร
ตอบได้ว่าทรงอธิษฐานว่า ด้วยพระมหาเจดีย์หน่อพุทธเจ้าเมืองมอญนี้ทรงกำลังศักดิ์สิทธิชุ่มใจนัก ตัวข้าพุทธเจ้าอยู่ไกลถึงตองอูมาสักการะด้วยวิถีทุเรศกันดารไกลระยะทางและหวงห้ามด้วยศัตรู ข้าพุทธเจ้าของปวารณารวมแผ่นดินพม่ามอญเข้าเสียด้วยกัน เพื่อท้ายนั้นได้มีโอกาสกราบไหว้นมัสการพระมหาธาตุได้สะดวกราบรื่นทุกวันเทอญ
ดังนี้แล้วจึงได้สมหวัง! ข้อนี้หากว่าสมตามตำนานดังกล่าว_ก็สมควรแล้วที่ฝ่ายพม่ารามัญจะยกดวงพระวิญญาณของตะเบงชเวตี้ขึ้นเปนที่นัต_ภูตเจ้าพ่อ
(ต่อตอน 2)
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 17 ฉบับที่ 3,689 วันที่ 20 - 23 มิถุนายน พ.ศ. 2564