การออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว เพื่อประกาศท่าทีและจุดยืนทางการเมือง ของนายนิติธร ล้ำเหลือ, นายพิชิต ไชยมงคล และ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ในฐานะตัวแทน "กลุ่มประชาชนคนไทย" ขอให้รัฐบาลเสียสละและให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกนั้น ถือเป็นแรงสั่นสะเทือนทางการเมือง ที่ส่งผลต่อรัฐบาลอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพราะนี่คือระเบิดทางการเมืองอีกลูกหนึ่งที่ถาโถมใส่รัฐบาล ในช่วงเวลาที่อยู่ในภาวะวิกฤติศรัทธา เป็นรัฐบาลขาลงด้วยหลายปัญหารุมเร้า
การแถลงข่าวและประกาศจุดยืนของบุคคลในกลุ่มนี้ ได้บ่งบอกความเป็นตัวตนและชี้ชัดต่อสังคมว่า พวกเขามิใช่คนกันเอง หรือพวกเดียวกันกับรัฐบาลทหารชุดนี้ และไม่เคยสนับสนุนการรัฐประหารยึดอำนาจของ คสช. อย่างที่พวกสามนิ้ว หรือ สาวกทักษิณกล่าวหาแต่อย่างใด การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่พวกเขาออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ในอดีต ก็ด้วยจุดยืนที่ต้องการแก้ปัญหาของชาติบ้านเมือง และต้องการให้มีการปฏิรูปทางการเมือง สร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ล้างระบอบการเมืองที่ล้าหลังและล้มเหลวของประเทศ และเพื่อการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เสาหลักของบ้านเมืองเท่านั้น
พวกเขามิได้สนับสนุนกลุ่มใดหรือบุคคลคณะใด ให้ขึ้นมามีอำนาจ และใช้อำนาจนั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยมิได้นำพาต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยละเลยกับการปฏิรูปทางการเมืองแต่อย่างใด และจุดยืนนี้ เชื่อว่าเป็นจุดยืนเดียวกันกับมวลชนเรือนแสนเรือนล้าน ที่ออกมาร่วมกันในวันนั้น ไม่ว่าในนามกลุ่มพันธมิตรฯ หรือ กปปส. หรือ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูป(คปท.) ที่นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ และจุดยืนของคนกลุ่มนี้ จึงแตกต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยสิ้นเชิง
สถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะปรากฏว่า มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยบางกลุ่มก็เรียกร้องเกินเลยไปถึงการจาบจ้วงล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ บางกลุ่มก็มิได้เสนอทางออกของประเทศแต่อย่างใดนั้น พวกเขาก็เป็นแม่น้ำต่างสาย เพียงแต่ทั้งหมดมีข้อเรียกร้องที่ตรงกันข้อหนึ่งคือ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก อันเป็นจุดร่วมบนความแตกต่างเท่านั้นส่วน "กลุ่มประชาชนคนไทย(ปท.)" ยังได้มีข้อเสนอเพิ่มขึ้นเพื่อขอให้มี "รัฐบาลสร้างชาติ" โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ที่ยังต้องอาศัยกลไกของรัฐสภา มิได้ออกนอกระบบ เพียงแต่มีเงื่อนไขอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก โดยขอให้รัฐสภาให้การสนับสนุนบุคคลภายนอก อันเป็นที่ศรัทธาและได้รับยอมรับของประชาชน เข้ามาแก้ไขปัญหาชาติตามข้อเรียกร้องที่พวกเขาได้เสนอต่อรัฐบาลคือ
1.แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว หลังวิกฤติโควิด 2.จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการปฏิรูปประเทศ 3.แก้ไขปัญหาความแตกแยกในสังคม สร้างความปรองดองสามัคคีของคนในชาติ ยุติความขัดแย้งทางการเมือง 4.จัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยถือเอาภารกิจดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ ซึ่งเคยมีความอดทน และให้โอกาสในการทำงานของรัฐบาล โดยมิได้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ต้องมาถึงจุดที่พวกเขาสุดจะทนต่อไปกับรัฐบาลนั้น ก็ชัดเจนตามแถลงการณ์ที่พวกเขาเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตระบัดสัตย์ในคำมั่นสัญญาประชาคม คือ
1.ไม่ได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้านตามสัญญา และมีพฤติกรรมฉ้อฉลในการใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศในหลายเรื่อง 2. ไม่ได้สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ แต่กลับอาศัยความขัดแย้งของประชาชนเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกและปกครอง 3. มีการทุจริตคอรัปชั่น อภิมหาโครงการต่างๆและมีพฤติการณ์เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ใก้ลชิดรัฐบาล บริหารงบประมาณเสียหายไม่เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
4.รัฐบาลล้มเหลวในการจัดการรับมือกับการระบาดของโควิดระลอกที่ 2-3 โดยปล่อยให้เกิดการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว, การมั่วสุมในสถานบันเทิง, การลักลอบเปิดบ่อนการพนันขนาดใหญ่ และการจัดการเรื่องวัคซีนที่ล่าช้าไม่ทั่วถึง สร้างความสับสนและล้มเหลวในการบริหารจัดการปัญหาโควิด 5. มีปัญหาด้านจริยธรรมทางการเมือง ที่รัฐบาลแวดล้อมด้วยบุคคลที่มีปัญหาไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ หรือการเปิดทางให้ตัวแทนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ใกล้ชิดนายกฯ เข้าควบคุมองค์กรสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเอื้อประโยชน์แก่กัน
เหล่านี้คือเหตุผลสำคัญๆ ที่กลุ่มประชาชนที่ไม่ทนต่อรัฐบาลออกมาแถลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาสะสมในช่วงเวลา 7 ปี ของการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คนส่วนใหญ่เห็นว่ามาโดยไม่ชอบตามวิถีทางประชาธิปไตย แล้วยังไม่ทำตามสัญญา แถมส่อเจตนาจะอยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่สนใจและนำพาต่อข้อเรียกร้องของประชาชน
การที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ยังคิดว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ออกมาไล่รัฐบาล เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครมาแก้ปัญหาวิกฤติโควิดก็ดี หรือลำพองว่าคงไม่มีใครอยากเปลี่ยนม้ากลางศึก หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญยังค้ำยันอำนาจตนให้อยู่ในอำนาจต่อไป จึงไม่สนใจนำข้อเรียกร้อง หรือข้อเสนอของประชาชนเหล่านั้นมาพิจารณานั้น เรื่องนี้ขอให้นายกฯ โปรดคิดใหม่เสียให้จงหนัก เพราะหากพิจารณาให้ดี นี่คือประชาชนกลุ่มสุดท้ายแล้วที่ให้โอกาสรัฐบาล รวมถึงนักวิชาการ หรือบุคคลสำคัญอื่นๆ ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับรัฐบาล ก็ล้วนหมดความอดทนทำนองนี้เช่นกัน
การที่คนเหล่านี้หมดความอดทน ย่อมถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของรัฐบาล เป็นการแสดงให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีกองหนุนใดๆ หลงเหลืออีกแล้ว หากยังเดินเกมทางการเมือง หรือมีท่าทีอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนเห็นว่าท่านอยู่และทำงานเพื่ออำนาจ เพื่อพวกพ้องของตน เพื่อสนองประโยชน์กลุ่มทุนขนาดใหญ่ มากกว่าทุ่มเททำงานให้ประชาชน เพื่อแก้ปัญหาชาติ
แม้ว่าท่านจะพูดทุกวัน ตะโกนให้ดังสักเพียงใดว่าตน ทำเพื่อชาติ ทำเพื่อประชาชน แต่คนจำนวนมากเขาไม่เชื่อ จึงป่วยการและยากอย่างยิ่งที่จะอยู่ในอำนาจโดยสงบสุข เพราะ "เมื่อประชาชนผู้ถูกปกครอง ไม่ยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง" เสียแล้ว ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าเพียงใด ก็มิอาจทานอำนาจของมวลมหาประชาชนได้ นี่คือสัจจธรรมของการเมืองการปกครอง
ทางเลือกของนายกรัฐมนตรี ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นปัญหาสำคัญยิ่ง จะเลือกอย่างไรคงมีไม่กี่ทางเลือก
1. อยู่ในอำนาจต่อไป ให้กลไกอำนาจรัฐทำงานปกป้องตนเอง ประคับประคองพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้แตกแถว โดยแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์กันไป โดยไม่ตอบรับข้อเรียกร้องของประชาชน ใช้ความสงบนิ่ง ลอยตัวเหนือปัญหา ใช้กฎหมายสยบความเคลื่อนไหว และเตรียมพรรคการเมืองไว้รองรับอำนาจตนต่อไป
2. หากสถานการณ์บีบคั้น พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มระส่ำ การเคลื่อนไหวมวลชนกดดันขึ้นสู่กระแสสูง ตัดสินใจยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โยนทุกปัญหาไปที่การเลือกตั้งและรัฐบาลใหม่ ซื้อเวลาในการรักษาอำนาจไว้ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ตน เพื่อกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่จะราบรื่นหรือไม่ ยังมีอุปสรรคอีกมากมายขวางหน้า
3. ตัดสินใจลาออก เปิดทางให้กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยสนับสนุนคนดีคนเก่งเข้ามาทำงานรับใช้บ้านเมืองรับไม้ต่อ แล้วยุติบทบาททางการเมือง
4. ทบทวนตนเองเสียใหม่ นำข้อเรียกร้อง ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน นักคิด นักวิชาการ ที่เสนอแนะด้วยความปราถนาดี มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไข เมื่อเป็นข้อเรียกร้องและความเห็นที่ดีที่ถูกต้อง ควรนำมาปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังและให้เห็นผลในทุกๆด้าน การสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนมีส่วนร่วม และเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศโดยแท้จริง และสร้างความสมานฉันท์ สามัคคีปรองดองคนในชาติ ยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคม
โดยผู้นำต้องวางตนเป็นแบบอย่างในความมีจริยธรรม ขจัดการทุจริตคอรับชั่นและการใช้อำนาจโดยไม่ชอบทั้งปวง ทำให้ประชาชนมีความศรัทธา เชื่อถือและไว้วางใจในความเสียสละเพื่อประชาชน ประเทศชาติ มิใช่การเอื้อประโยชน์เฉพาะแก่ตนเองและพวกพ้อง ด้วยการขจัดข้อสงสัยต่างทั้งปวงให้สิ้นไป
5. ทางเลือกที่ 1. และ 2. รัฐบาลอาจอยู่ด้วยความยากลำบากและต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมายที่จะตามมา และที่สุดอาจต้องเผชิญกับการลุกขึ้นมาชุมนุมขับไล่จากประชาชน ทางเลือกที่ 3 และ 4 ย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่า และเปิดทางลงที่ดีให้กับตนเองได้
ทั้งหมดอยู่ที่ทางเลือก ทางลง ของนายกรัฐมนตรีที่จะเลือกและตัดสินใจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะถึงช่วงเวลาที่ท่านต้องเตรียมทางลงจากอำนาจอย่างสง่างาม หมดเวลาแห่งการอยู่ในอำนาจ หรือการสืบต่ออำนาจโดยราบรื่นอีกต่อไปแล้ว อยู่ที่ท่านจะเป็นผู้เลือกเอง หรือจะเป็นผู้ถูกบังคับให้ต้องเลือก เวลาและโอกาสที่ท่านอยู่ในอำนาจ จะครบสองวาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงสมควรแก่เวลาที่นายกฯ ต้องตัดสินใจแล้วครับ