นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สหรัฐอเมริกาได้ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทย (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 19% ลดลงจากเดิมที่ 36% และมีผลบังคับใช้แล้วในขณะนี้
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน อาทิ เวียดนามที่ถูกเก็บภาษี 20% อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกับไทยที่ 19% พบว่าสินค้าจากทุกประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐจะต้องเสียภาษีนำเข้าสูงขึ้นจากอัตราปกติ (MFN) ส่งผลให้ผู้บริโภคปลายทางต้องแบกรับราคาที่สูงขึ้นตามภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตาม หากวัดกันที่ศักยภาพการแข่งขัน สินค้าทูน่ากระป๋องและอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังเหนือกว่าทุกประเทศในภูมิภาค เพราะไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกใหญ่ที่สุด และมีต้นทุนแข่งขันได้ตามกลไกตลาด
“เดิมทูน่ากระป๋องของไทยส่งออกไปสหรัฐเสียภาษีนำเข้า 12% และอาหารสัตว์เลี้ยงเสีย 0% เมื่อถูกบวกภาษีเพิ่มอีก 19% จะทำให้ทูน่ากระป๋องเสียภาษีรวม 31% และอาหารสัตว์เลี้ยงเสียภาษีรวม 19% แต่ด้านการแข่งขันไม่มีผล เพราะในอาเซียนไม่มีใครสู้เราได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่ง อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะรับราคาที่ปรับขึ้นได้หรือไม่” นายชนินทร์ กล่าว
หลังรับรู้ภาษีจากสหรัฐที่ 19% นายชนินทร์คาดว่า ปี 2568 การส่งออกทูน่าของไทยจะขยายตัว 3% บวก-ลบ และอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัว 10% บวก-ลบ ขึ้นอยู่กับการยอมรับราคาของผู้บริโภค รวมถึงราคาวัตถุดิบปลาทูน่า
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรระบุว่า ปี 2567 ไทยส่งออกทูน่ากระป๋องและอาหารสัตว์เลี้ยงไปทั่วโลก มูลค่ารวม 188,636 ล้านบาท ในจำนวนนี้ตลาดสหรัฐมีมูลค่า 47,495 ล้านบาท
สำหรับช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.)