‘วัลลภ มานะธัญญา’ คงปรัชญาเดิมเติม AI-นวัตกรรมใหม่รุกตลาดข้าว

26 พ.ย. 2568 | 21:30 น.

โชว์วิสัยทัศน์ ‘วัลลภ มานะธัญญา’ คงปรัชญาเดิมเติม AI-นวัตกรรมใหม่รุกตลาดข้าวหอมมะลิ โลก สร้างตำนานมา 88 ปี ครองใจผู้บริโภคกว่า 50 ประเทศ

KEY

POINTS

  • กลุ่มบริษัทบางซื่อโรงสีไฟเจียเม้งยังคงยึดมั่นในปรัชญาดั้งเดิมที่เน้นคุณภาพ ความซื่อสัตย์ และการรักษาคำพูดในการดำเนินธุรกิจ
  • เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า และวางแผนขยายการใช้งานในระบบเอกสารและรับคำสั่งซื้อในอนาคต
  • ผลักดันนวัตกรรมการทำนาแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

เอ่ยชื่อ กลุ่มบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด คนในวงการข้าวรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ผลิตข้าวและผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงของไทยสู่ตลาดโลก มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนาน 88 ปี กว่าจะมาถึงวันนี้ ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร ได้กลั่นประสบการณ์ โดยถ่ายทอดเป็นปรัชญาองค์กรที่ “ใส่ใจ ซื่อสัตย์ ในการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ให้ได้รับผลประโยชน์อย่างสมดุลและยุติธรรม” 

‘วัลลภ มานะธัญญา’ คงปรัชญาเดิมเติม AI-นวัตกรรมใหม่รุกตลาดข้าว

ดร.วัลลภ กล่าวว่า กลุ่มบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด (BSCM Group) ดำเนินการธุรกิจด้านข้าวอย่างครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การตรวจสอบคุณภาพ การบรรจุสินค้า และการจัดจำหน่าย ส่งออกข้าวคุณภาพสูงมากกว่า 100,000 ตันต่อปีไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ด้วยความใส่ใจและมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ

“หลักการบริหาร กลุ่มบริษัทโรงสีไฟเจียเม้ง ใช้คุณภาพนำหน้า รักษาคำพูด ซื่อสัตย์สุจริต เป็นแนวทาง ที่บริษัทยึดมั่นมาช้านานแล้วในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะคุณภาพเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นมากในการผลิต ตลาดเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ลดคุณภาพไม่ได้ รับปากใครไว้แล้ว พูดคำไหนเป็นคำนั้น” 

 

ข้าวหอมมะลิยังไปต่อ 

 

สำหรับสถานการณ์ข้าวโลกในอีก 3-5 ปี ในส่วนของ “ข้าวหอมมะลิ” มองว่าตลาดยังไปได้ แต่ทิศทางอาจถดถอยลง หากไม่มีการพัฒนาหรือปรับปรุงในเรื่องของผลผลิตต่อไร่ ที่ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยยังต่ำมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน หากสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่เป็น 1 ตัน หรือมากกว่า 1 ตัน จะส่งผลดีทำให้ข้าวหอมมะลิไทยแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะราคาข้าวหอมของคู่แข่งยังต่ำกว่าไทยเท่าตัว ขณะที่คุณภาพเริ่มขยับมาใกล้ ๆ เราทุกที ถ้าจะให้ประเทศไทยยังพอมีอะไรที่สามารถแข่งขันได้ ก็มีข้าวหอมมะลิที่ยังพอทำได้ ดังนั้นต้องเร่งดำเนินการ 

 

 

‘วัลลภ มานะธัญญา’ คงปรัชญาเดิมเติม AI-นวัตกรรมใหม่รุกตลาดข้าว

 

ส่วน “ตลาดข้าวขาว” และ “ข้าวนึ่ง” มองว่าเหนื่อย เพราะอินเดียในขณะนี้ผลผลิตก็ดีและมีปริมาณมาก ส่งผลราคายิ่งถูก แล้วถ้าบ้านเราข้าวราคาถูก เกษตรกรก็อยู่ยาก ยกเว้นข้าวขาวพื้นแข็ง หรือพื้นนุ่ม ที่ต้องปรับปรุงยกระดับผลผลิตให้ได้ 1.5-2 ตันต่อไร่ ถึงจะพอแข่งขันกับอินเดียได้ ซึ่งไทยมีศักยภาพที่สามารถทำได้ เพราะหากเราผลิตได้อย่างนี้ ราคาที่เกษตรกร ขายได้ ขณะนี้ระดับ 5,000 บาทต่อตัน หากได้ 2 เท่า ได้เพิ่มเป็น 10,000 บาท ก็ยังอยู่ได้

“ในเรื่องการจัดการฟาร์มผมว่าเกษตรกรของเราเก่งพอ แต่ในเรื่องพันธุ์เราสู้เขาไม่ได้ ส่วนเรื่องราคาข้าวที่มีความผันผวน ในส่วนของบริษัทไม่ค่อยมีปัญหา เนื่องจากยึดหลักคุณภาพ และลูกค้าทำกันมานาน รู้ใจและเข้าใจเราว่าเป็นบริษัทที่ผลิตคุณภาพ ก็เชื่อใจและไว้ใจเรา หากลูกค้ามีปัญหาในการทำตลาด จะมาหารือให้ช่วยปรับลดราคา หรือจะทำโปรโมชั่นอย่างไรก็พร้อมจะยินดี เพื่อให้ลูกค้าเราไปได้ และสามารถเดินไปได้ด้วยกัน เป็นแนวทางที่ได้ทำเป็นประจำ”

 

 ดึง AI ช่วยสื่อสารยุคใหม่

ปัจจุบันบริษัทใช้ AI (Artificial Intelligence/ปัญญาประดิษฐ์) ช่วยในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า อาทิ ใช้ ChatGPT ช่วยร่างจดหมาย และสั่งทำรายงานการประชุม ช่วยทำให้การทำงานง่ายขึ้น เร็วขึ้น สะดวกขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และต่อไปการที่จะนำ AI มาใช้ในบริษัท อย่างน้อยบุคลากรจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจใน AI ด้วย ดังนั้นบริษัทก็จะค่อย ๆ ปรับไป เรียนรู้ในเรื่องง่ายๆ ก่อน ต่อไปก็จะมาใช้ในการรับออร์เดอร์ และการทำเอกสารระบบ AI ให้ทำงานได้เร็วขึ้น ใช้คนน้อยคน เราก็ต้องไปในทิศทางนั้นในท้ายที่สุด 

หนุนทำนาโลว์คาร์บอน 

อย่างไรก็ดีปัจจุบันข้าวที่ปลูกในเครือข่าย เป็นนาข้าวที่ทำในระบบนาหยอด (หยอดเมล็ดพันธุ์ในการเพาะปลูก) เสียส่วนใหญ่ ซึ่งนาหยอดเป็นการทำนาคาร์บอนต่ำ(โลว์คาร์บอน) อยู่แล้ว แต่เราก็พัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด โดยได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ามาช่วยในการวางแผน เพราะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากข้าวไม่ใช่มาจากโรงงาน แต่มาจากผลผลิตข้าวที่รับซื้อมา ดังนั้นต้องไปลดตรงนี้ และต่อไปหากเกษตรกรสามารถบริหารจัดการแปลงปลูกได้ดี สามารถปลูกข้าวลดก๊าซมีเทน ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็จะขายคาร์บอนเครดิตได้ และจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และมุ่งสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้เร็วขึ้นตามแผนที่วางไว้ 

‘วัลลภ มานะธัญญา’ คงปรัชญาเดิมเติม AI-นวัตกรรมใหม่รุกตลาดข้าว

นายวัลลภ กล่าวอีกว่า ในเรื่องการยกระดับราคาข้าว ไม่สามารถทำได้เอง แต่ต้องเป็นไปตามกลไกตลาดที่ต้องไปแข่งขันกับประเทศอื่น ถ้าไม่มีคู่แข่งเลยก็สามารถกำหนดเองได้ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ส่งออกข้าว หากราคาเท่ากัน คุณภาพต้องเหนือกว่า อย่างนี้เราทำได้ แต่ราคาต่ำกว่า แล้วคุณภาพด้อยกว่า จะไปหวังว่าจะมีตลาดมาซื้อ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าได้ราคาและคุณภาพเหนือกว่า อย่างนี้พอจะสู้กันได้ 

“ผมว่าคุณภาพและความคงเส้นคงวา นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นหัวใจหลักที่ทำให้องค์กรมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แล้วได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ มีหน้าที่และมีความรับผิดชอบในการดูแลคุณภาพ ตลอดจนพนักงานองค์กรทุกคนก็ต้องยึดมั่นในเรื่องของคำพูด เพราะสิ่งที่คุณพูดไปต้องนึกก่อนพูด เนื่องจากสิ่งที่พูดไปจะกลายเป็นพันธะสัญญากับลูกค้า ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นนิยามที่เราปลูกฝังอยู่แล้ว ส่วนความซื่อสัตย์สุจริตมีอยู่แล้วในองค์กร ก็ให้ดำเนินการไปในทิศทางนั้น รวมถึงความเอาใจใส่ลูกค้า โดยพื้นฐานนิสัยคนไทยดีอยู่แล้ว เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยขับเคลื่อนบริษัทไปได้”

รุกขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันบริษัทฯ มีคู่ค้าใน 40-50 ประเทศ โดยส่วนใหญ่มีแนวคิดแบบเดียวกันในการทำข้าวคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรม โดยทุกตลาดลูกค้าอยู่ร่วมกับบริษัทมามากกว่า 10 ปี และยังขยายตลาดไปเรื่อย ๆ ทีละประเทศค่อย ๆ เติมเข้าไป แม้กระทั่งตลาดข้าวในสหรัฐอเมริกา ที่ก็มีความเป็นห่วงเรื่องภาษีนำเข้าที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก 19% ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของข้าวหอมมะลิไทย 

“ลูกค้าของเราในสหรัฐบอกว่าไม่กระทบเท่าไร แต่ยังไม่รู้ว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไร จะต้องประเมินกันเป็นระยะ ๆ และที่ต้องระวังก็คือคู่แข่งขันของเรา ระยะห่างของราคาจะห่างกันไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญจะทำให้คนอเมริกันมีกำลังซื้อน้อยลง เงินเฟ้อมากขึ้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังว่าตลาดในอนาคตอาจจะเสียไปได้ ก็ต้องช่วยกันดูแล” 

โดยสรุป การเติบโตของกลุ่มบริษัทบางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง มองว่าปรัชญาที่ผู้ใหญ่วางรากฐานมาให้นับว่าเป็นเรื่องดีและถูกต้อง สิ่งที่ทางกลุ่มจะต้องทำต่อไปก็คือนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้กับองค์กรมากขึ้น โดยที่ยังยึดปรัชญาเดิม แต่ก้าวต่อไปจะนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ตั้งแต่กระบวนการผลิต และจะเดินหน้าในการพัฒนาองค์กรต่อไป