KEY
POINTS
งานใหญ่ประจำปี Sustainability Expo 2025 (SX2025) มีหลากกิจกรรมให้ติดตาม และอีกไฮไลต์คือเวที TSCN Business Partner Conference 2025 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้หัวข้อ “ปรับแนวคิด พลิกธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนของโลก” โดยรวบรวม 4 ผู้นำองค์กรเศรษฐกิจไทย ได้แก่
ร่วมเวทีเสวนา “CEO Panel” เพื่อสะท้อนมุมมองต่อการปรับตัวของธุรกิจไทยในโลกที่กำลังเผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เปิดเวทีด้วยคำกล่าวจาก นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ซีอีโอไทยเบฟเวอเรจ ที่ฉายภาพใหญ่ของโลกว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุค “โลกาภิวัตน์” (Globalization) ไปสู่ยุค Post-Globalization ที่แต่ละประเทศหันกลับมาปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างเข้มข้น
“โลกไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวอีกต่อไป เมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ นำด้วยนโยบาย ‘America First’ และหลายประเทศต้องใช้ทรัพยากรเพื่อความอยู่รอดหลังโควิด-19 ระบบการค้า การเงิน และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกจึงสั่นสะเทือนทั้งหมด” ฐาปนกล่าว
นายฐาปนย้ำว่า “ภาคธุรกิจไทยต้องเข้าใจความเชื่อมโยงนี้ และใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาค” โดยชี้ว่าการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม World Bank 2026 คือจังหวะสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพบนเวทีโลกในฐานะ “ประเทศแห่งการเชื่อมต่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน”
ด้าน นายศุภชัย เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ มองว่าโลกวันนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยทุนหรือแรงงานเท่านั้น แต่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรมและข้อมูล” เขาเรียกยุคใหม่นี้ว่า “Innovation-ism Economy” ซึ่งทุกองค์กรต้องเรียนรู้ที่จะ “เป็นโรงเรียน และเป็นห้องทดลอง”
“เราต้องล้มเล็กๆ เรียนรู้เยอะๆ แล้วสําเร็จยิ่งใหญ่เหมือนสตาร์ตอัพ โลกใหม่บังคับให้เราเปลี่ยน แต่ถ้าเราเลือกเปลี่ยนเอง เราจะนำหน้า”
นายศุภชัยเสนอให้ภาคเอกชนเปิดพื้นที่ทดลอง (innovation lab) ภายในองค์กร เชื่อมโยงกับสตาร์ตอัพ มหาวิทยาลัย และภาคธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
“ต่อให้เราใหญ่ก็ต้องสร้างห้องแล็บ ต่อให้เราเล็กก็ต้องเชื่อมโยง” พร้อมเตือนว่า ประเทศไทยยังเชื่อมโยงกันน้อยเกินไป ทั้งในหมู่เอกชน ระหว่างประเทศ และระหว่างภาคธุรกิจกับสถาบันการศึกษา “เราทุกคนต้อง Back to School เพื่อรีเลิร์นและสร้างทักษะใหม่ให้ทันโลก”
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG วิเคราะห์ว่า โลกธุรกิจวันนี้เผชิญ “การแตกขั้วของซัพพลายเชน” ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลต่อทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่พลังงาน ปิโตรเคมี ไปจนถึงอิเล็กทรอนิกส์
“ถ้าเมื่อก่อนประเทศเล็กอย่างไทยต้องปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่วันนี้กลับกัน มหาอำนาจกลับตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องตนเอง ขณะที่โลกก้าวสู่ยุค Protectionism และ Decarbonization เราจึงต้องออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน”
นายธรรมศักดิ์เสนอให้รัฐบาลเร่งผลักดันนโยบาย Green Financing เพื่อลดต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวสู่การผลิตสีเขียว โดยไทยควรตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางเงินทุนสีเขียวของอาเซียน” (ASEAN Green Finance Hub) และเปิดโอกาสให้ SME ไทย เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่
“สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่เพียงดึงนักลงทุนเข้ามา แต่ต้องทำให้ SME ไทยได้ปรับตัว และเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก เล่าว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต้องเจอแรงกระแทกจากหลายด้าน ตั้งแต่โควิด สงครามรัสเซีย–ยูเครน ไปจนถึงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท
“เราไม่เคยคิดว่าธุรกิจเราจะเปราะบางได้ขนาดนี้ แต่วิกฤติครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจว่าการมีรัฐบาลที่เข้มแข็งมีความสำคัญเพียงใด เพราะเป็นผู้ต่อรองในเกมโลกที่ไม่มีกติกาอีกต่อไป” เขากล่าว พร้อมระบุว่า ไทยยูเนี่ยนเริ่มปรับองค์กรครั้งใหญ่ล่วงหน้าหนึ่งปีก่อนเกิดวิกฤติ ทำให้รับมือได้ทัน
นายธีรพงศ์สรุปสูตรอยู่รอดขององค์กรใน 3 คำว่า Lean – Cost Competitive – Faster หรือการทำให้องค์กรเล็กลง คล่องตัวขึ้น และตัดสินใจได้เร็วขึ้น เพื่อให้พร้อมต่อทุกสถานการณ์ “โลกจะไม่หยุดรอเรา ถ้าไม่ปรับตัวตอนนี้ ก็อาจไม่มีเวลาปรับในวันหน้า”
ช่วงท้ายเวที ศุภชัยได้สรุปภาพรวมของบทเรียนจากทั้ง 4 ผู้นำ ว่า “ทุกองค์กรต้องปรับเข้าสู่ยุค Active Learning Economy” โดยมีสามหลักสำคัญคือ
“เศรษฐกิจโลกกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเรียนรู้เร็วคืออาวุธสำคัญ ใครเรียนรู้ช้า จะตกขบวน” นายศุภชัยกล่าวปิดท้าย
การเสวนาในครั้งนี้สะท้อนชัดว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ยุทธศาสตร์รอด” ของภาคธุรกิจไทยในยุคที่ซัพพลายเชนโลกแตกขั้ว เศรษฐกิจสั่นสะเทือน และเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วเกินคาดแนวคิดร่วมของซีอีโอทั้ง 4 คือ การรวมพลังเอกชน–รัฐ–มหาวิทยาลัย
สร้างระบบนิเวศธุรกิจที่เรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวจาก “ผู้ผลิตต้นน้ำ” สู่ “ผู้สร้างคุณค่า” ในเศรษฐกิจโลกใบใหม่ จากคู่แข่งสู่คู่คิด จากองค์กรสู่ห้องทดลอง ประเทศไทยจะเข้มแข็งได้ ถ้าเอกชนทุกคนลุกขึ้นเชื่อมโยงกัน นายฐาปน กล่าวสรุป