“ทีมเวิร์ก-พันธมิตร-ติดอาวุธ” คีย์ซัคเซส พลิกวิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ สู่เวทีนานาชาติ

22 พ.ค. 2568 | 08:10 น.

เปิดแนวคิด “สุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์” นายก PUBAT ที่นำทีมคนรุ่นใหม่ปฏิวัติวงการหนังสือไทย ทั้งปรับภาพลักษณ์องค์กร ติดอาวุธให้สำนักพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี และดันงาน Bangkok Rights Fair สู่เวทีนานาชาติ พร้อมเป้าหมายพา “ไทยเป็นศูนย์กลางหนังสือโลก” ภายใน 10 ปี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา แต่ “สุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์” นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงหนังสือเมืองไทยมากว่าครึ่งชีวิต กลับเลือกที่จะนำทัพธุรกิจ และสมาคม PUBAT ที่รวมสำนักพิมพ์ บริษัทชั้นนำลุกขึ้นมาปฏิวัติวงการหนังสือไทยให้ก้าวกระโดดสู่เวทีโลกได้อย่างน่าประทับใจ

“สุวิช” เล่าให้ฟังว่า หากถามถึงความสำเร็จในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากผมเพียงคนเดียว แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันแบบทีมเวิร์คของคณะกรรมการทุกคน การพลิกฟื้นให้อุตสาหกรรมหนังสือเติบโต และก้าวไปข้างหน้าในระดับสากลได้อย่างแข็งแรง ท่ามกลางวิกฤตมากมาย

สุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์

“ที่ผ่านมาคนอาจไม่รู้จัก สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ไม่รู้จักว่า PUBAT คือใคร ทำอะไร แต่วันนี้ในแวดวงหนังสือทั่วโลก รู้จัก หน่วยงานภาครัฐ เอกชนรู้จัก และกลายมาเป็นพันธมิตรกับเรา ทำให้สมาชิก PUBAT ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ทั้งระดับเล็ก กลาง ใหญ่ แข็งแรงขึ้น เป็นที่รู้จัก สร้างผลงานและมีรายได้มากขึ้น”

“สุวิช” ไม่ปฏิเสธว่า 2 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการทุกคนทำงานอย่างหนัก อะไรไม่เคยทำ ก็ทำ อะไรใหม่ แต่สร้างคุณประโยชน์ให้กับสมาคม ให้กับสมาชิก เราก็ทำ

“หากถามว่า อะไรคือ กุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จ สามารถตอบได้ทันทีว่า “ทีมเวิร์ก” คณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งเป็นคณะกรรมการคนรุ่นใหม่ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะหลากหลายครบเครื่องทุกด้าน โดยกว่า 70% เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี ผนวกกับคณะกรรมการที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ ทำให้สามารถสร้างสรรค์และบริหารจัดการจนประสบความสำเร็จในวันนี้”

“ทีมเวิร์ก-พันธมิตร-ติดอาวุธ” คีย์ซัคเซส พลิกวิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ สู่เวทีนานาชาติ

ท่ามกลางวิกฤติของอุตสาหกรรมหนังสือและวิกฤตเศรษฐกิจ “สุวิช” บอกว่า เราต้องไม่แผ่ว เราใช้จังหวะนี้ “ติดอาวุธ” ให้ผู้ประกอบการในวงการหนังสือ ด้วยการจัดอบรมเสริมความรู้หลากหลายด้าน โดยเฉพาะการใช้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มใหม่ๆ เช่น TikTok โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาเป็นมีเดียพาร์ทเนอร์ ช่วยให้สมาชิกปรับตัวกับการตลาดรูปแบบใหม่ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก

นอกจากนี้ ยังขยายการจัดงานหนังสือสู่เมืองรอง เช่น นครสวรรค์ จันทบุรี ศรีราชา ช่วยให้หนังสือคุณภาพเข้าถึงผู้อ่านทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างการเข้าถึงคุณภาพอย่างทั่วถึง

ขณะเดียวกัน ก็ต้องขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ โดย “สุวิช” เล่าว่า หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน บูธหนังสือไทยในงาน Book Exhibition ในต่างประเทศ จะเป็นบูธเล็กๆ แทบไม่มีการตกแต่ง แต่ปีล่าสุดในงาน Book Exhibition ที่ไต้หวัน บูธของไทยกลายเป็นหนึ่งในบูธจากต่างประเทศที่มีผู้เข้าชมติดอันดับท็อปของงาน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปรับเปลี่ยน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว

“งาน Bangkok Rights Fair เกิดขึ้นเพราะต้องการจุดประกายให้สำนักพิมพ์ต่างๆ ได้เรียนรู้การซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือข้ามชาติ ซึ่งแม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ในปีที่ผ่านมา พบว่ามีการซื้อขายลิขสิทธิ์ภายในงานมากถึง 271 คู่ จากผู้เข้าร่วม 135 บริษัท ใน 14 ประเทศ/เขตแดน มียอดการซื้อขายลิขสิทธิ์มากกว่า 68 ล้านบาท”

“ทีมเวิร์ก-พันธมิตร-ติดอาวุธ” คีย์ซัคเซส พลิกวิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ สู่เวทีนานาชาติ

“สุวิช” บอกว่า วันนี้ไทยได้รับเกียรติให้เป็น Guest of Honor ในงาน Taipei International Book Exhibition 2026 และยัง MOU ร่วมกับ Taipei Book Fair Foundation นำ 30 สำนักพิมพ์ไทยเข้าร่วมงานซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการขายลิขสิทธิ์ประมาณ 15.7 ล้านบาท

“อุตสาหกรรมหนังสือไทยต้องก้าวเดิน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เติบโตไปด้วยกัน” โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือของอาเซียนในปี 2569 และศูนย์กลางเอเชียภายใน 5 ปี และศูนย์กลางของโลกภายใน 10 ปี แม้จะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ แต่จะเป็นแรงผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้า”

สุดท้าย “สุวิช” บอกว่า อุตสาหกรรมหนังสือไทยกำลังก้าวสู่การเป็น “ซอฟท์พาวเวอร์” ที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ พร้อมก้าวสู่เวทีโลกอย่างภาคภูมิ

“วันนี้อุตสาหกรรมหนังสือไม่ได้มีแค่การซื้อขายหนังสือเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาคน ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต”