นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปี 2567 ตลาดหนังสือไทยมีมูลค่าประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.75 หมื่นล้านบาท และหากแนวโน้มการเติบโตยังต่อเนื่อง คาดว่ามูลค่าตลาดอาจถึง 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2569 โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้ตลาดหนังสือขยายตัวมาจากการจัดงานหนังสือระดับชาติ ที่ดึงดูดทั้งสำนักพิมพ์และนักอ่านให้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ควบคู่ไปกับการเติบโตของตลาดหนังสือออนไลน์
จากข้อมูลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 53 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 23 ที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ร่วมงานมากกว่า 1.3 ล้านคน ผลสำรวจรวมกว่า 8,000 คน พบว่านักอ่านนิยมอ่านการ์ตูนสูงสุด ถัดมาคือนิยายและวรรณกรรม ประเภทสยองขวัญ สืบสวนสอบสวน ถัดมาเป็นหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาหรือให้กำลังใจ ลำดับสุดท้ายคือหนังสือพัฒนาตัวเอง (How to) และตำราเรียน
ขณะเดียวกันกระแสของซีรีส์ ภาพยนตร์ แอนิเมชัน แนวยูริ (หญิงรักหญิง) ก็กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้นและคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ส่วนแนวแฟนตาซีเคยได้รับความนิยมมาแล้วก็เริ่มกลับมาเป็นกระแส โนักอ่านให้ความสนใจเรื่องราวเหนือจินตนาการมากขึ้น และตอนนี้หนังสือแนวสยองขวัญ กำลังเติบโตต่อเนื่องจากอิทธิพลของสื่อบันเทิง เช่น ภาพยนตร์เรื่องธี่หยดและซีรีส์
ในภาพรวมของกลุ่มนักอ่านจะเป็นผู้หญิง 66% ผู้ชาย 27% LGBTQ+ 6% และไม่ระบุเพศอีกประมาณ 1% มีอัตราการซื้อหนังสือโดยเฉลี่ยส่วนใหญ่ประมาณ 1,352 บาท/คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามลำดับคือ 600 - 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 30.88% ตามด้วย 1,000 -1,500 บาท คิดเป็นสัดส่วน 14.70% และมากกว่า 3,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 12.84%
นายสุวิช กล่าวว่า สำหรับตลาดหนังสือที่มีแนวโน้มเติบโต ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาหนังสือสูงขึ้นตามไปด้วย บางเล่มราคาสูงกว่าที่ผู้อ่านสามารถจ่ายได้ อีกปัญหาหนึ่งคือ ค่าตอบแทนของนักเขียนและนักแปล ที่ยังค่อนข้างต่ำ ทำให้ยากที่จะดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่วงการ ส่งผลให้การผลิตหนังสือดีๆ อาจลดลงในระยะยาว อีกทั้งการเลือกเสพเนื้อหาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสื่อบันเทิงอื่นๆ ทำให้บางกลุ่มอ่านหนังสือเล่มลดลง
อย่างไรก็ตาม แนวทางการผลักดันอุตสาหกรรมหนังสือไทยให้เป็นหนึ่งในซอฟท์พาวเวอร์ที่สำคัญของประเทศไทยนับจากนี้ ทางสมาคมยังคงเดินหน้าตาม 4 ยุทธศาสตร์ที่ได้เคยประกาศไว้ คือ
ทั้งนี้คาดว่าภายใน 2 ปี จะสามารถผลักดันให้อุตสาหกรรมหนังสือของไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ภายใน 5 ปีเป็นศูนย์กลางของเอเชีย และภายใน 10 ปีเป็นศูนย์กลางของโลกได้อย่างแน่นอน