วันนี้ (26 กันยายน 2568) บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 โดยมีวาระสำคัญใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.พิจารณาอนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทดุสิตธานี และ 2.การอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการใหม่ และการเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันของบริษัทดุสิตธานี
การประชุมครั้งนี้ จึงเป็นการชี้ชะตา 'ชนินทธ์ โทณวณิก' ทายาทคนโตของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ว่าจะยังสามารถกุมอำนาจการบริหารงานในดุสิตธานี ต่อไปได้หรือไม่
หลังจากก่อนหน้านี้ 2 น้องสาว คือ นางสินี เธียรประสิทธิ์ (ลูกสาวคนโต) และ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (ลูกสาวคนเล็ก) ได้รวมตัวถอดถอน “ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกจากกรรมการ
“บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบมจ.ดุสิตธานี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้การถอดถอนนายชนินทธ์ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียง และมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง
ดูจากผู้ถือหุ้นของดุสิตธานีจะเห็นว่า“ชนินทธ์ โทณวณิก” มีความสุ่มเสียง เพราะบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในดุสิตธานี 49.47% รวม 422 ล้านหุ้น เมื่อ 2 น้องสาว ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด มีเสียงรวมกันสูงกว่านายชนินทธ์ โดยกลุ่มของนายชนินทธ์ ถือหุ้น 25.4% กลุ่มนางสินี ถือหุ้น 26.57% กลุ่มนางสุนงค์ ถือหุ้น 21.62% และท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (กองมรดก) ถือหุ้น 24.99%
ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ในบมจ.ดุสิตธานี อยู่ที่ 17.09% ก็เป็นที่น่าจับตาดูถึงสายสัมพันธ์ที่ดีกับ 2 น้องสาว ซึ่งหาก CPN เดินเกมส์งดออกเสียงเหมือนเมื่อครั้งที่ CPN เลือกงดออกเสียงในการประชุมพิจารณางบการเงินดุสิตธานี ปี 2567 ในช่วงเกิดการงัดข้อกันระหว่างพี่น้อง การโหวตครั้งนี้ก็คงเข้าทาง 2 น้องสาวนายชนินทธ์ เพราะผู้ถือหุ้นที่อยู่ฝั่งนายชนินทธ์ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
รวมถึงในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ทางบริษัท ชนัตถ์และลูก ฝั่ง 2 น้องสาว ยังเสนอให้ผู้ถือหุ้นดุสิตธานี อนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการและกรรมการอิสระ จากปัจจุบันที่มีจำนวนกรรมการ 12 คน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 18 คน โดยเสนอเลือกตั้งกรรมการแทนผู้ที่พ้นตำแหน่งตามวาระจำนวน 4 คน ได้แก่
(ดร. ปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งเดิมได้รับการเสนอชื่อ แต่ล่าสุดได้แจ้งถอนตัวก่อนการเลือกตั้ง)
เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 ทาง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ได้มีหนังสือแจ้งมายังบริษัทว่าไม่ประสงค์จะเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการอีกต่อไป เนื่องจากมีภารกิจอื่นที่ต้องรับผิดชอบ เกรงว่าอาจมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ในฐานะกรรมการบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
โดยลาออกต่อจากมาดามแป้ง นางนวลพรรณ ล่ำซำ ที่ลาออกจากตำแหน่งกรรมการดุสิตธานีไปก่อนหน้านี้ จนในการประชุมบอร์ดล่าสุดได้แต่งตั้งนายสมประสงค์ บุญยะชัย ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระแทน
รวมถึงยังมีวาระการเสนอเลือกตั้งบุคคลต่อไปนี้ เข้าเป็นกรรมการอีก 5 คน และกรรมการอิสระใหม่อีก 1 คน รวมเป็น 6 คน" ได้แก่
เป็นที่น่าสังเกตว่ากรรมการใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นมา จำนวน 3 คน โดย 2 คน เป็นตัวแทนจากกลุ่มเซ็นทรัล ส่วนอีกคน ก็เป็นกรรมการในบริษัทที่มีธุรกิจทับซ้อนกันกับดุสิตธานี ทั้งโรงแรมอสังหาริมทรัพย์และมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่อาจมีสภาพอย่างเดียวกันและอาจเป็นการแข่งขันกับกิจการของบริษัทดุสิตธานี และกลุ่มบริษัทดุสิตธานี ประกอบไปด้วย
ประกอบธุรกิจการเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองหรือเช่าจากผู้อื่นเพื่อเป็นที่พักอาศัย และบริษัท อัลทัส แคปปิตอล สยาม แอคควิซิชั่น ทู จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง
เป็นกลุ่มบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่อาจมีสภาพอย่างเดียวกันและอาจเป็นการแข่งขันกับกิจการของบริษัทและกลุ่มบริษัท
โดยมีบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการประกอบธุรกิจพัฒนาและให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่และประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องและส่งเสริมธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้า เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์อาหาร โรงแรม และที่พักอาศัย เป็นต้น เป็นผู้ถือหุ้น 99 % ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ซีพีเอ็น รีท แมเนจเมนท์ จำกัด
อีกทั้งในทางปฏิบัติ หากผู้ถือหุ้นอันดับ 2 จะส่งบอร์ด 2 คนเข้ามาก็ควรต้องผ่านมติบอร์ดก่อนหรือไม่ กลับใช้เวทีประชุมผู้ถือหุ้นตั้งบอร์ด
ขณะที่ CPN ออกแถลงการณ์ว่า ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาถือหุ้นในดุสิตธานีจำนวน 145,238,320 หุ้น คิดเป็น 17.09 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของดุสิตตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งที่ผ่านมาเซ็นทรัลพัฒนา เคารพในการบริหารงานของผู้ถือหุ้นใหญ่ และสนับสนุนการดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด
ดังนั้น เมื่อเซ็นทรัลพัฒนา ได้รับการเสนอให้ส่งตัวแทนเพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้งเป็นกรรมการของดุสิตธานี ทางเซ็นทรัลพัฒนา เล็งเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของดุสิตธานีให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป
การเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งกรรมการเป็นไปตามแนวทางการมีส่วนร่วมตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติตามปกติ ในการดูแลเงินลงทุน โดยไม่มีอำนาจในการควบคุมในดุสิตแต่อย่างใด
อีกทั้งเซ็นทรัลพัฒนา มีเจตนาอันดีและดำเนินงานภายใต้หลักธรรมภิบาลตามแนวทางของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลเรื่องการจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)
ดุสิตธานี บริหารงานโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เซ็นทรัลพัฒนา ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการตัดสินใจดำเนินการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด
นอกจากนี้การประชุมผู้ถือหุ้นดุสิตธานีในครั้งนี้ยังมีวาระเสนอเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท จากเดิมคือ "นายชนินทธ์ โทณวณิก , นางสินี เธียรประสิทธิ์ และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์" ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท” เปลี่ยนเป็น" นางสินี เธียรประสิทธิ์ , ดร. กฤษดา กวีญาณ ,นายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์" ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท
แต่ด้วยความที่นางศุภจี ได้ขอเกษียณอายุจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบมจ.ดุสิตธานี และลาออกจากบอร์ดดุสิตธานีไปตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอร์ดจึงตั้ง นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ มาเป็นกรรมการแทน และนายชนินทธ์ ซึ่งปัจจุบันรักษาการประธานกรรมการ ต้องมาควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี (กรุ๊ปซีอีโอ)
แต่ท้ายสุดนายชนินทธ์ จะยังคงมีอำนาจในการบริหารบมจ.ดุสิตธานีต่อไปได้หรือไม่ ทั้งๆที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบริหารดุสิตธานีมาอย่างยาวนาน ก็ต้องจับตาดูผลการประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ เพราะก่อนหน้านี้นายชนินทธ์ ก็ได้ออกมาส่งสัญญาณ โดยกล่าวถึงปัญหานี้ว่า “จบลงได้ดีไม่ต้องเป็นห่วง พูดคุยแก้ไขปัญหาทุกวัน เพราะทุกคนอยากจะให้ทุกอย่างออกมาดีให้เชื่อมั่นประเด็นดุสิตธานีจะจบลงด้วยดี
งานนี้คงต้องจับตาดูว่าทายาททั้ง 2 ฝั่งจะเกิดการตกลงกันได้จริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็มีการไกล่เกลี่ยกันมาแล้วหลายครั้ง การขัดแย้งกันก็มีแต่เสียหายทั้งตัวทายาทท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุยเอง และภาพลักษณ์ของบริษัท จึงต้องรอดูว่าการประชุมผู้ถือหุ้นที่จะเกิดขึ้น มติผู้ถือหุ้นจะยอมถอย ถอนวาระบีบชนินทธ์พ้นกรรมการและอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท
หรือ จะเดินหน้าโหวตต่อตามวาระนี้ นั่นก็มีความเสี่ยงที่นายชนินทธ์ อาจจะไม่มีอำนาจใดๆดุสิตธานีเลย คงเหลือแต่ในฐานะผู้ถือหุ้นเท่านั้น และตำแหน่งซีอีโอดุสิตธานีของนายชนินทธ์เองก็มีสิทธิ์ถูกถอดออกได้ทุกเมื่อเช่นกัน หรือหากยังคงนั่งเป็นซีอีโออยู่ แต่ไม่มีอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทแล้วจะทำไรได้ แทบไม่ต่างจากเสือกระดาษ
ทั้งๆที่ นายชนินทธ์ เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจหลักของกลุ่มดุสิต เพราะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจโรงแรมและอาหารมาอย่างยาวนาน
ทั้งยังเป็นทายาทคนโตของผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี เป็นผู้ที่ทราบและเข้าใจความเป็นมาของโรงแรมเป็นอย่างดี เป็นบุคคลสัญลักษณ์ของดุสิตธานี และสืบต่อเจตจำนงของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ในการรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยของโรงแรมดุสิตธานีมาจนถึงทุกวันนี้
อีกทั้งมีเครือข่ายในวงการ Hospitality ที่แข็งแกร่ง รวมถึงการริเริ่มโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งนายชนินทธ์ โทณวณิก เป็นผู้ริเริ่มและเป็นผู้นำในการดำเนินการ
รวมถึงแนวคิดและกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นหนึ่งในโครงการของบริษัทที่คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท เป็นโครงการที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้ดุสิตมีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อให้เป็นมรดกตกทอดไปถึงรุ่นลูกหลานของไทย
การถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก จะส่งผลกระทบต่อบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) รวมถึงโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค และความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วนที่มีต่อบริษัท
ส่วนเหตุผลการจะปลดนายชนินทธ์ ที่อ้างถึงประเด็นการไม่จ่ายเงินปันผลมาตลอด 5 ปี และตัวเลขขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ปรากฏในงบการเงินนั้น หากไปดูใส้ในจริงๆจะพบว่าผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากความล้มเหลวในการดำเนินธุรกิจโรงแรม
แต่เป็นผลโดยตรงจาก ‘ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย’ ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินเพื่อพัฒนาโปรเจกต์ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของคณะกรรมการเพื่อสร้างตำนานบทใหม่แทนที่โรงแรมดุสิตธานีเดิมที่มีอายุกว่า 50 ปี
หัวใจสำคัญของการพลิกฟื้นสถานะทางการเงินของบริษัท อยู่ที่ความสำเร็จของส่วนโครงการที่พักอาศัย (Dusit Residences) ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้าไปเกือบ 2 ปี แต่ดุสิตธานีกลับเป็นโครงการระดับ Luxury เพียงแห่งเดียวที่ยังคงสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันขายเรสสิเด้นท์ไปได้กว่า 90% แล้ว รายได้จากส่วนนี้จะใกล้ 17,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้ปลายปีนี้ และส่วนใหญ่ในปีหน้าและปีถัดไป คาดว่าปีหน้า หนี้สินดุสิตเกือบทั้งหมดก็คงหมด และกำไร การขาดทุนสะสมต่างๆ ก็จะหายไป ทุกอย่างจะเปลี่ยนหมดภายในปีเดียว
ปัจจุบันอาณาจักรดุสิตธานีหมื่นล้านบาท มีถึง 5 สายธุรกิจ จากโรงแรมและวิลล่า 27 แห่งใน 8 ประเทศ ขยายสู่ 297 แห่ง (โรงแรม 57, วิลล่า 240) ใน 18 ประเทศทั่วโลก ภายใต้ 9 แบรนด์ที่แตกต่างกัน
ดังนั้นบทสรุปที่ได้จากการประชุมผู้ถือหุ้นดุสิตธานี จึงไม่ใช่แค่ชี้ชะตานายชนินทธ์เท่านั้น ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของดุสิตธานีอีกด้วย หากเกิดการเปลี่ยนผู้คุมอำนาจในการบริหารใหม่จากนายชนินทธ์มาอยู่ในมือ 2 น้องสาวและกลุ่มตัวแทนจากเซ็นทรัลโดย CPN ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับ 2 และส่งตัวแทนเข้ามานั่งเป็นบอร์ดดุสิตธานี