วันนี้ (วันที่ 12 กันยายน 2568) คณะกรรมการดุสิตธานี (บอร์ด) มีมติแต่งตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจาก “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ขอเกษียณก่อนครบกำหนดจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยบริษัทเห็นชอบให้มีผลตั้งแต่วันนี้ (12 กันยายน 2568) เป็นต้นไป โดยการขอเกษียณอายุในครั้งนี้ นางศุภจี ได้รับเงินเกษียณอายุ 8 เดือน จากการที่นั่งดำรงตำแหน่งซีอีโอมานานกว่า 9 ปี ซึ่งเป็นไปตามกฏหมาย
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าหลังจากได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เข้าดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” และนางศุภจีได้ตัดสินใจตอบรับการทาบทามเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดจากตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม” บมจ. ดุสิตธานี เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจ ที่จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ เพื่อพัฒนาประเทศในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน
ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง คณะกรรมการบริษัทฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ควบอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อให้การบริหารจัดการและนโยบายต่าง ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี เปิดเผยว่า ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ดุสิตธานีรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ นางศุภจีได้รับโอกาสอันสำคัญนี้ ซึ่งจะเป็นการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในช่วงรอยต่อที่สำคัญของบ้านเมือง ทั้งที่ผ่านมานางศุภจี ได้ทุ่มเทให้กับดุสิตธานีเป็นอย่างมาก เป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ในขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องเร่งด่วน เรายินดีที่รัฐบาลนี้ ประเทศไทยจะได้คนที่ดีที่เก่งไปช่วยประเทศในช่วงเวลา 4-7 เดือนจากนี้ ดังนั้นในระหว่างนี้ผมจึงมาทำหน้าที่ซีอีโอแทน จากเดิมในอดีตที่ผมนั่งในตำแหน่งนี้มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะดึงนางศุภจี เข้ามานั่งในตำแหน่งนี้
ผมบอกกับนางศุภจีแล้วว่าหากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาเสมอ และบริษัทขอขอบคุณคุณศุภจีสำหรับความทุ่มเท ความเป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี
นายชนินทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาหลายคนอาจมองว่าดุสิตธานีประสบปัญหาการขาดทุน การไม่ได้จ่ายปันผลมา 5 ปี แต่ความจริง คือ ดุสิตธานีทำผลงานได้ดีมาก โดยเป็นบริษัทเดียวที่ไม่ได้เพิ่มทุน แต่กลับดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับทุนจดทะเบียนและขนาดธุรกิจที่มีอยู่ โครงการนี้คือ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" มูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจของเขากับคณะกรรมการเพื่อเปลี่ยนโรงแรมดุสิตธานีเดิมที่มีอายุ 50 กว่าปี ให้เป็นตำนานใหม่ ประกอบด้วย4 ส่วนหลัก ได้แก่ โรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม/เรสซิเดนซ์ แม้การดำเนินโครงการล่าช้าไปประมาณ 2 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
บริษัทฯ กำลังสร้าง “รายได้” ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึงกว่าเท่าตัว จากปี 2557 ที่กลุ่มดุสิตธานีมีรายได้รวม 5,370 ล้านบาท เพิ่มเป็น 11,204 ล้านบาทในปี 2567 และกำลังจะพลิกเป็นบวกอย่างชัดเจน
จุดเปลี่ยนที่กำลังจะมาถึงคือการรับรู้รายได้จากการขายโครงการ “ดุสิต เรสซิเดนเซส”(Dusit Residences) ที่ขายไปแล้ว 90% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 รวมถึงโรงแรมอีกกว่า 50แห่งทั่วโลกที่อยู่ในแผนการขยายธุรกิจของดุสิตธานี
“ตัวเลขขาดทุนที่เห็น กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้านี้ โดยในระหว่างการเดินทางที่ผ่านมาของ “ดุสิตธานี” ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่นั้น มีศักยภาพ ที่ซ่อนอยู่อย่างมีนัยสำคัญ จากธุรกิจที่มีเพียง 2 ธุรกิจหลัก วันนี้ ดุสิตธานี ขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องและพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 5 ธุรกิจ จากโรงแรมและวิลล่า 27 แห่ง เพิ่มเป็น 297 แห่ง โดยเป็นโรงแรม 57 แห่ง และวิลล่า 240 หลัง จากจุดหมายปลายทางใน 8 ประเทศทั่วโลก ขยายสู่ 18 ประเทศทั่วโลก และจากแบรนด์โรงแรม 4 แบรนด์ วันนี้ “ดุสิตธานี” มีแบรนด์ภายใต้การบริหารถึง 9 แบรนด์ ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า” นายชนินทธ์ กล่าว
ขณะที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ทำงานในดุสิตธานี โดยเริ่มจากเป็นกรรมการของบริษัทดุสิตธานีในปี 2558 และเป็น CEO ในปี 2559 นับถึงวันนี้ที่ได้ลาออกไป เกือบ 10 ปีที่การทำงานไม่ได้ง่ายเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ได้วางแผนงานออกเป็น 3 ช่วงหลักเพื่อให้ดุสิตธานีเติบโตอย่างแกร่งแกร่ง
โดยเริ่มจาก 3 ปีแรก คือ สร้างพื้นฐาน (Foundation) ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต 3 ปีถัดมา คือ สร้าง "เครื่องยนต์" (Engine) ใหม่ ๆ ในการเพิ่มรายได้ไม่ใช่เพียงแต่พึ่งพาธุรกิจโรงแรมเป็นหลักอย่างในอดีต ซึ่งรวมถึงโครงการสำคัญอย่าง "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" และ 3 ปีสุดท้าย คือ มุ่งสู่การ "Take Off" อย่างเต็มที่ และติดลมบน เพื่อเป็นบทใหม่ (New Chapter) ของบริษัท
ทำให้ดุสิตธานีวันนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้แล้ว หากมองเฉพาะในเรื่องของรายได้ ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ทำสถิติสูงสุด (record year) ของบริษัท แม้จะยังมีผลขาดทุนอยู่บ้าง แต่ผลขาดทุนเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อบริษัทได้โอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเรสซิเดนซ์ที่ขายไปแล้ว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 16,000 กว่าล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ และปีหน้าจะรับรู้รายได้เต็มที่
ดังนั้น เมื่อคอนโดมิเนียมถูกโอนกรรมสิทธิ์แล้ว หนี้และภาระดอกเบี้ยก็จะหมดไป ทำให้บริษัทเข้าสู่ "Chapter ใหม่" และคาดว่าจะเริ่มมีกำไรเกิดขึ้นในปีหน้า หลังจากการขาดทุนของดุสิตธานีที่ผ่านมา เพราะดุสิตธานีไม่ได้เพิ่มทุน จากการในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค (ทุนยังอยู่ที่ 850 ล้านบาทเท่าเดิม)แต่กลับทำโครงการขนาดใหญ่ และมีผลกระทบความล่าช้าในการก่อสร้างในช่วงโควิด-19 ที่ยากลำบาก ซึ่งหมายความว่าต้องมีการกู้ยืมและจ่ายดอกเบี้ย แต่ก็จะล้างหมดได้ในปีหน้า
สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้
ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ขอให้ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ “ดุสิตธานี” ดำเนินการมาโดยตลอด
ทั้งยังมั่นใจว่าการดำเนินงานของดุสิตธานีภายใต้การนำของ นายชนินทธ์ โทณวณิก ในฐานะรักษาการ CEO โดยระบุว่า คุณชนินทธ์ ไม่ได้เป็น "มือใหม่" ในตำแหน่งนี้ แต่มีประสบการณ์อันยาวนานของนายชนินทธ์ ทั้งในฐานะตัวแทนของประเทศไทยในธุรกิจท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป
นางศุภจี ยังกล่าวต่อถึง การตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งในกระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน โดยปกติในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักจะอยู่ในวัด อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้มี 2 เหตุผลหลัก ได้แก่
1.ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทาย ต้องมีคนเข้ามาช่วย ซึ่งตนเองเชื่อว่าจะนำประสบการณ์ที่หลากหลายมาช่วยประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็น การทำงานที่ IBM ที่เคยดูแลภาพรวมเศรษฐกิจระดับมหภาค ซึ่ง 7 ปีที่ทำงานในต่างประเทศ และเมื่อมาทำงาน IBM ในไทย ก็การวางนโยบายที่นิวยอร์ก ซึ่งไทยคมก็ทำธุรกิจกับประเทศ เช่นเดียวกับดุสิตธานีที่ต้องดูแลอัตลักษณ์แบรนด์ไทยดุสิตธานีสู่โลก
ทั้งยังเคยเป็นกรรมการธนาคารและบริษัทผลิตสินค้า ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เชื่อว่าสามารถช่วย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะการสร้างรายได้และเปิดตลาดต่างประเทศรวมถึงการดูแลการค้าภายในประเทศและหาศักยภาพของผลิตภัณฑ์ไทยในระดับรากหญ้า ตนเชื่อว่าประเทศไม่สามารถอยู่ในสุญญากาศได้ และหากนำความรู้ที่มีมาช่วยก็จะเกิดประโยชน์ เพราะโครงการคนละครึ่ง การลดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวไม่พอ
2. วาระของรัฐบาลชุดนี้สั้น ทำให้สามารถเร่งสร้างผลกระทบที่สำคัญและเป็นรูปธรรมได้โดยเร็ว ก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เธอมีปรัชญาการทำงานที่ว่า "คนเราคงไม่จำเป็นต้องรอให้รู้ 100% ถึงจะลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่เรารู้" และมีธงร่วมคือ ทำให้ประเทศไทยแข็งแรง
อีกทั้งการที่รัฐบาลมีอายุสั้น ก็มีข้อดีว่าคนไม่ต้องไปกังวลว่าทำไงจะอยู่เก้าอี้นาน เพราะทุกคนคิดไปในทางเดียวกันมีเวลา 4-6 เดือนทำให้ดีที่สุดให้ประชาชนเห็น เพราะการทำต้องโฟกัสเรื่องเร่งด่วนและทำเลย ส่วนนโยบายก็คงต้องมีการหารือกับทีมเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี เพื่อทำนโยบายที่มีธงร่วมกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้า