'ศุภจี สุธรรมพันธ์' ควง 'ชนินทธ์ โทณวณิก' แถลงทิศทางบริหาร ดุสิตธานี พรุ่งนี้

11 ก.ย. 2568 | 12:24 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 12:54 น.

'ศุภจี สุธรรมพันธ์' จับมือ 'ชนินทธ์ โทณวณิก' แถลงทิศทางการบริหารงานของกลุ่มดุสิตธานี พรุ่งนี้ จากความสำเร็จในปัจจุบัน สู่การสร้างสรรค์บทใหม่ จับตาแถลงก่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 26 กันยายน 2568 ที่จะมีวาระถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการ บมจ.ดุสิตธานี

วันนี้(วันที่ 11กันยายน 2568) บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT แจ้งผู้สื่อข่าวว่า ดุสิตธานีจะจัดงานแถลงข่าวทิศทางการบริหารงานของกลุ่มดุสิตธานี จากความสำเร็จในปัจจุบัน สู่การสร้างสรรค์บทใหม่ ในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 เวลา 13.30-15.30 น.ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ  

โดยเป็นการแถลงข่าวโดยชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และ นางศุกจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี เพื่อชี้แจงภาพรวมการดำเนินงานกลุ่มดุสิตธานี

ทั้งนี้เป็นการแถลงข่าวที่หลายคนจับตามอง เนื่องจากเป็นการแถลงข่าว ก่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบมจ.ดุสิตธานี ในวันที่ 26 กันยายน 2568 ซึ่งจะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญดุสิตธานี เนื่องจากหลังเกิดศึกสายเลือดทายาทดุสิตธานี 2 ขั้ว ระหว่างนางสินี เธียรประสิทธิ์ (ลูกสาวคนโต) ,นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (ลูกสาวคนเล็ก) กับ ชนินทธ์ โทณวณิก (พี่ชายคนโต) “ทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี

ชนินทธ์ โทณวณิก

ถึงขั้นทาง 2 น้องสาว ร่วมกันเป็นเสียงข้างมากถอด "ชนินทธ์ โทณวณิก" ออกจากการมีอำนาจใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 พร้อมแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คนในฝั่งทายาทสาว คือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ ซึ่งนายชนินทธ์ เองก็อยู่ในการฟ้อง 2 น้องสาว ในกรณีถอดถอนไม่ชอบด้วยกฏหมาย

ทั้งล่าสุดบานปลายถึงขั้นกดดันให้ดุสิตธานี จัดประชุมวิสามัญผู้ถือถือหุ้น ในวันที่ 26 กันยายน 2568 นี้ เพื่อขอมติถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากการเป็นกรรมการของบมจ.ดุสิตธานี การเสนอตั้งบอร์ดใหม่ดุสิตธานี และการเปลี่ยนแปลงกรรมการในการกระทำการแทนบริษัท จากเดิมที่กรรมการ 2 ใน 3 คน คือนายชนินทธ์, นางสินี, นางศุภจี สามารถลงลายมือชื่อร่วมกันได้ มาเป็น เปลี่ยนเป็นนางสินี, ดร. กฤษดา กวีญาณ, และ นายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์

อย่างไรก็ตามการแถลงข่าววันพรุ่งนี้ ประเด็นหลัก คือ ความสำเร็จของกลุ่มดุสิตธานี โดยเฉพาะในโครงการ "ดุสิตเซ็นทรัล พาร์ค" ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนในบริษัทลูก คือ บริษัท วิมานสุริยา จำกัด
โดยดุสิตธานี ถือหุ้น 70% และบริษัทเซ็นทรัล พัฒนา หรือ  CPN ถือหุ้น 30% ภายใต้การลงทุน 4.6 หมื่นล้านบาท

โดยเป็นโครงการมิกซ์ยูส บนที่ดิน 23 ไร่ มุมถนนสีลม-พระราม 4  หลังจากลงทุนมาตั้งแต่ปี 2561 เจอผลกระทบโควิด แต่ในขณะนี้โครงการผลิดอกออกผลแล้ว จากการบริหารโดย นางศุภจี สุธรรมพันธ์และนายชนินทธ์ โทณวณิก เป็นหัวแรงสำคัญ

ศุภจี สุธรรมพันธ์

โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ทางดุสิตธานีได้ลงทุนปรับโฉมใหม่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งทุบทิ้งและสร้างใหม่ เป็นอาคารโรงแรม 39 ชั้น 257 ห้องที่เปิดให้บริการเมื่อปีแล้ว และการเปิดสวนดุสิตอรุณ (Dusit Arun) ณ โครงการ Dusit Central Park ซึ่งเป็นสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนชั้น 4-7 ของโครงการ Dusit Central Park 

'ศุภจี สุธรรมพันธ์' ควง 'ชนินทธ์ โทณวณิก' แถลงทิศทางบริหาร ดุสิตธานี พรุ่งนี้

แต่ดุสิตธานียังคงเหลืออาคารสำนักงาน Central Park Offices จำนวน 43 ชั้น พื้นที่ (GBA) 130,000 ตร.ม.และที่พักอาศัย พื้นที่ขนาด 50,500 ตร.ม. แบ่งเป็น Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่จะทยอยแล้วเสร็จในไม่นานนี้ 

ขณะที่ CPN ลงทุนในส่วนของ ศูนย์การค้า Central Park พื้นที่ (GBA) 130,000 ตร.ม.ที่เพิ่งเปิดให้บริการ

ประกอบกับโครงการนี้จะทำให้ดุสิตธานีกลับมามีกำไรอีกครั้งในรอบ 5 ปี จากการขายโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ที่มียอดขายกว่า 93% โดยขายได้แล้วกว่า 17,000 ล้านบาท ที่รอรับรู้รายได้ในปีหน้า รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมหลังโควิด

จากเดิมดุสิตธานีไม่ได้จ่ายเงินปันผลมานานกว่า 5 ปี และมียอดขาดทุนสะสมกว่า 1,254 ล้านบาท โดยการขาดทุนส่วนใหญ่จะเป็นดอกเบี้ยกู้ยืมในการกู้เงินมาลงทุนในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค  เพราะโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งมีมูลค่าโครงการมากกว่า 46,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทฯ ไม่เคยขอรบกวนท่านผู้ถือหุ้นด้วยการเพิ่มทุนแต่อย่างใด

โดยทุนจดทะเบียนยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาท เพราะจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนการถือหุ้นเดิม (share dilution) อย่างมีนัยสำคัญ แต่ช่วยเหลือตนเอง ด้วยการหาแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกหุ้นกู้ การขอสินเชื่อ เพื่อนำมาบริหารจัดการกิจการ รวมถึงภาพรวมของธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ดังนั้นขณะนี้โครงการทยอยแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ ก็จึงทำให้ผลประกอบการของดุสิตธานีจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยน่าจะพลิกกลับมาทำกำไร 2-3 พันล้านบาทในปีหน้า

อีกทั้งแผนธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า ดุสิตธานีมีโครงการสำคัญ ได้แก่ การขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนอกจากโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็ยังมี โครงการดุสิต อจารา หัวหิน ที่พัฒนาพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ที่หน้าโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ให้เป็นที่พักอาศัยภายใต้คอนเซ็ปต์ “มัลติเจนเนอเรชั่น ลิฟวิ่ง” การขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ในลักษณะการรับบริหาร โดยมีแผนเปิดโรงแรมในโอซาก้า ฮานอย มะละกา(มาเลเซีย) อินเดีย และมัลดีฟส์

'ศุภจี สุธรรมพันธ์' ควง 'ชนินทธ์ โทณวณิก' แถลงทิศทางบริหาร ดุสิตธานี พรุ่งนี้

รวมไปถึงการสร้างรายได้จากธุรกิจอาหาร อย่าง ดุสิตฟู้ด เป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยหลายแห่ง อาทิ Epicure Catering ให้บริการด้านอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติ Bonjour ธุรกิจขนมและเบเกอรี่ ซึ่งตอนนี้ได้เข้าไปถือหุ้นผ่าน Epicure และ Bonjour จากเดิม 20 % เป็น 70 % แล้ว ก็ทำให้รายได้ดีขึ้นแผนจะนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า

ส่วนธุรกิจโรงเรียนสอนทำอาหาร เดอะ ฟู้ด สคูล (TFS) เป็นการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 โดยปกติแล้ว ธุรกิจโรงเรียนจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี หรือกว่านั้นจึงจะคุ้มทุน ดังนั้น สำหรับ TFS นั้น จึงถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันได้ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาทาง TFS มีจำนวนนักเรียนหลักสูตรระยะสั้น 1,401 คน และหลักสูตรระยะยาว 181 คน ซึ่งถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่น ๆ ที่เปิดมาก่อนหน้านี้

ทั้งดุสิตธานีจะเน้นขยายพอร์ตโฟลิโอ กระจายความเสี่ยง เพราะในอดีตก่อนที่ตนเองจะเข้ามาบริหาร ดุสิตธานีพึ่งธุรกิจโรงแรมมากกว่า 90% ดุสิตธานีต้องการให้ธุรกิจมีความสมดุลมากขึ้น โดยลดการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป จึงต้องการขยายการให้บริการครอบคลุมเซ็กเมนท์ใหม่ๆ เพราะเซ็กเมนท์เดิมเริ่มลดลงตามอายุของลูกค้า มีเจเนอเรชั่นใหม่ๆ เข้ามาเราจึงต้องขยายการให้บริการที่ตอบโจทย์และครอบคลุมมากขึ้น

เช่น โครงการใหม่อย่าง “อาศัย” ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมเจาะตลาดกลุ่มมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ก็ถือเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์นี้ และเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดใน Tripadvisor รวมถึงการให้ความสำคัญในการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ

ทำให้ดุสิตธานีมีโรงแรมภายใต้การบริหารเพิ่มจาก 27 แห่ง เป็น 58 แห่ง มีการให้บริการในรูปแบบวิลล่าอีกเกือบ 300 แห่ง ขยายธุรกิจจาก 8 ประเทศ เป็น 19 ประเทศ มีพนักงานเพิ่มจาก 7-8 พันคน เป็นหมื่นคน และเพิ่มธุรกิจจาก 2 บิสิเนสยูนิต จากอดีตมีแค่โรงแรมและการศึกษา มาเป็น 4 บิสิเนสยูนิต โดยเพิ่มธุรกิจอาหารและอสังหาริมทรัพย์

รวมทั้งสามารถขยายแบรนด์จาก 4 แบรนด์ เป็น 10 แบรนด์ เพื่อในอนาคต สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะลดลงจาก 90% เหลือประมาณ 60% โดยที่เหลือจะมาจากธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้ระยะสั้นและระยะยาว