นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการและ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่าที่ผ่านมาหลายคนอาจมองว่าดุสิตธานีประสบปัญหาการขาดทุน การไม่ได้จ่ายปันผลมา 5 ปี แต่ความจริง คือ ดุสิตธานีทำผลงานได้ดีมาก โดยเป็นบริษัทเดียวที่ไม่ได้เพิ่มทุน แต่กลับดำเนินโครงการขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับทุนจดทะเบียนและขนาดธุรกิจที่มีอยู่ โครงการนี้ คือ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" มูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท
โครงการนี้เป็นการตัดสินใจของผมกับคณะกรรมการเพื่อเปลี่ยนโรงแรมดุสิตธานีเดิมที่มีอายุ 50 กว่าปี ให้เป็นตำนานใหม่ ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ โรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม/เรสซิเดนซ์ แม้การดำเนินโครงการล่าช้าไปประมาณ 2 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 การลงทุนในโครงการ Dusit Central Park เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
บริษัทฯ กำลังสร้าง “รายได้” ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึงกว่าเท่าตัว จากปี 2557 ที่กลุ่มดุสิตธานีมีรายได้รวม 5,370 ล้านบาท เพิ่มเป็น 11,204 ล้านบาทในปี 2567 และกำลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น และแน่นอน กำลังจะพลิกเป็นบวกอย่างชัดเจน จุดเปลี่ยนที่กำลังจะมาถึงคือการรับรู้รายได้จากการขายโครงการ “ดุสิต เรสซิเดนเซส”(Dusit Residences) ที่ขายไปแล้ว 90% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 รวมถึงโรงแรมอีกกว่า 50แห่งทั่วโลกที่อยู่ในแผนการขยายธุรกิจของดุสิตธานี
ตัวเลขขาดทุนที่เห็น กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้านี้ โดยในระหว่างการเดินทางที่ผ่านมาของ “ดุสิตธานี” ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่นั้น มี “ศักยภาพ” ที่ซ่อนอยู่อย่างมีนัยสำคัญ จากธุรกิจที่มีเพียง 2 ธุรกิจหลัก วันนี้ “ดุสิตธานี” ขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องและพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 5 ธุรกิจ จากโรงแรมและวิลล่า 27 แห่ง เพิ่มเป็น 297 แห่ง
โดยเป็นโรงแรม 57 แห่ง และวิลล่า 240 หลัง จากจุดหมายปลายทางใน 8 ประเทศทั่วโลก ขยายสู่ 18 ประเทศทั่วโลก และจากแบรนด์โรงแรม 4 แบรนด์ วันนี้ “ดุสิตธานี” มีแบรนด์ภายใต้การบริหารถึง 9 แบรนด์ ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า” นายชนินทธ์ กล่าว
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ทำงานในดุสิตธานี โดยเริ่มจากเป็นกรรมการของบริษัทดุสิตธานีในปี 2558 และเป็น CEO ในปี 2559 นับถึงวันนี้ที่ได้ลาออกไป เกือบ 10 ปีที่การทำงานไม่ได้ง่ายเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ได้วางแผนงานออกเป็น 3 ช่วงหลักเพื่อให้ดุสิตธานีเติบโตอย่างแกร่งแกร่ง
โดยเริ่มจาก 3 ปีแรก คือ สร้างพื้นฐาน (Foundation) ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต 3 ปีถัดมา คือ สร้าง "เครื่องยนต์" (Engine) ใหม่ ๆ ในการเพิ่มรายได้ไม่ใช่เพียงแต่พึ่งพาธุรกิจโรงแรมเป็นหลักอย่างในอดีต ซึ่งรวมถึงโครงการสำคัญอย่าง "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" และ 3 ปีสุดท้าย คือ มุ่งสู่การ "Take Off" อย่างเต็มที่ และติดลมบน เพื่อเป็นบทใหม่ (New Chapter) ของบริษัท
ทำให้ดุสิตธานีวันนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้แล้ว หากมองเฉพาะในเรื่องของรายได้ ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ทำสถิติสูงสุด (record year) ของบริษัท แม้จะยังมีผลขาดทุนอยู่บ้าง แต่ผลขาดทุนเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อบริษัทได้โอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเรสซิเดนซ์ที่ขายไปแล้ว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 16,000 กว่าล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ และปีหน้าจะรับรู้รายได้เต็มที่ ดังนั้น เมื่อคอนโดมิเนียมถูกโอนกรรมสิทธิ์แล้ว หนี้และภาระดอกเบี้ยก็จะหมดไป ทำให้บริษัทเข้าสู่ "Chapter ใหม่" และคาดว่าจะเริ่มมีกำไรเกิดขึ้นในปีหน้า หลังจากการขาดทุนของดุสิตธานีที่ผ่านมา เพราะดุสิตธานีไม่ได้เพิ่มทุน จากการในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค (ทุนยังอยู่ที่ 850 ล้านบาทเท่าเดิม)แต่กลับทำโครงการขนาดใหญ่ และมีผลกระทบความล่าช้าในการก่อสร้างในช่วงโควิด-19 ที่ยากลำบาก ซึ่งหมายความว่าต้องมีการกู้ยืมและจ่ายดอกเบี้ย แต่ก็จะล้างหมดได้ในปีหน้า
สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ขอให้ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ “ดุสิตธานี” ดำเนินการมาโดยตลอด
ทั้งยังมั่นใจว่าการดำเนินงานของดุสิตธานีภายใต้การนำของ นายชนินทธ์ โทณวณิก ในฐานะรักษาการ CEO โดยระบุว่า คุณชนินทธ์ ไม่ได้เป็น "มือใหม่" ในตำแหน่งนี้ แต่มีประสบการณ์อันยาวนานของนายชนินทธ์ ทั้งในฐานะตัวแทนของประเทศไทยในธุรกิจท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป