นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หนังสือที่ คิงเพาเวอร์ ส่งถึงบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เรื่องของการขอเจรจา เพื่อพิจารณาแนวทางยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 สัญญา รวม 5 ท่าอากาศยานหลักของ AOT ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานส่วนภูมิภาค 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (สงขลา) และท่าอากาศยานเชียงใหม่นั้น ทางคิงเพาเวอร์ ได้ส่งไปยังทอท.ก่อนที่ตนเองจะเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ คิงเพาเวอร์ฯ
แต่เมื่อตนเข้ามาเป็นซีอีโอ ก็คงต้องรอการตอบกลับจากทอท.ก่อนว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป ถ้าทอท.พิจารณาให้มีการเจรจาสัญญา ตนก็จะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ต่อไป ในฐานะซีอีโอ ซึ่งที่ผ่านมา คิงเพาเวอร์ ก็มีหนังสือหารือกับทอท.มาโดยตลอดถึงการขอเจรจา เพื่อลดผลกระทบของธุรกิจ จากโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 รวมถึงการขอคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรีขาเข้า ซึ่งส่งผลกระทบให้จุด PICK UP เคาท์เตอร์ รับสินค้าหายไปด้วย ก็ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวที่ซื้อดิวตี้ฟรี ไม่สามารถฝากสินค้าไว้ ต้องถือออกไปนอกประเทศด้วย
การเจรจาที่ผ่านมามีทั้งการขอให้ทอท.พิจารณาขอแบ่งจ่ายหนี้ การพักหนี้ แต่การทำหนังสือครั้งล่าสุด คือ เราต้องการหารือเพื่อพิจารณายกเลิกสัญญา แต่หากทอท.มีการหารือและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนสัญญา ให้คิงเพาเวอร์ยังดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ขาดทุน ก็จะทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อได้ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ เพราะด้วยสถานการณ์การดำเนินธุรกิจในวันนี้ ต้องยอมรับว่าเงื่อนไขที่ทำสัญญาไว้ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ
หากการเจรจาระหว่างกันช่วยทำให้คิงเพาเวอร์เดินต่อได้ และสถาบันการเงินยังปล่อยกู้ ก็จะเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยทางคิงเพาเวอร์ ต้องการให้เกิดการปรับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นธรรม เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
หรือหากเจรจาแล้วตกลงกันไม่ได้ จะยกเลิกสัญญาเราก็เข้ามาเคลียร์บัญชี และหากทอท.จะมีการประมูลใหม่ คิง เพาเวอร์ ก็พร้อมเข้าประมูลใหม่เช่นกัน ซึ่งจะเป็นการประมูลที่อยู่บนพื้นฐานบริบทใหม่ และการจ่ายผลตอบแทนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน
เนื่องจากสถานการณ์ที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ต้องเผชิญทำให้ไปต่อไม่ได้ เป็นเหตุสุดวิสัยและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยมิได้เกิดจากการกระทำของบริษัทฯ โดยเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถประกอบการและปฎิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ได้ มี 7 ประเด็นดังนี้
นายนิตินัย กล่าวต่อว่า ภารกิจหลักของการเป็นซีอีโอบริษัทเอกชน คือทำกำไรให้สูงสุด ก็ต้องดูว่าต้องมานั่งดูโครงสร้าง ผมเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ก็ยังไม่ได้อ่านอะไรละเอียดมาก แต่ก็พอรู้อุตสาหกรรมเขาอยู่ สิ่งที่เขามองว่าสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการแยกแยะให้ได้ว่า ปัญหาที่คิงพาวเวอร์กำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นปัญหาเชิง “cycle” หรือ “disruption”
เราต้องแยกก่อนว่า ธุรกิจขาลง มันมีทุกธุรกิจ ขาลงถัดไปก็มีขาขึ้น ผมเข้ามาก็ต้องทำให้ธุรกิจกลับมาเป็นขาขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ เพราะหลังโควิด สถานการณ์ ธุรกิจเปลี่ยนไปมาก คนช้อปปิ้ง ออนไลน์ นักท่องเที่ยวจีนหาย ผมเข้ามาก็ต้องแก้ปัญหาธุรกิจที่ถูกดิสทรัป โดยหนึ่งในความท้าทายสำคัญคือการจัดระเบียบโครงสร้างทางบัญชี เพราะคิงเพาเวอร์ กรุ๊ปมีหลายธุรกิจ มีหลายบิสิเนส ยูนิต อาทิ โรงแรม, คิงเพาเวอร์ มหานคร,ดิวตี้ฟรีในเมือง ต้องเข้าไปดู จัดโครงสร้างให้เหมาะสม