เปิดใจซีอีโอ คิงเพาเวอร์ เจรจาทอท.ปรับสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน เร่งดันธุรกิจสู่ขาขึ้น

18 มิ.ย. 2568 | 03:33 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มิ.ย. 2568 | 02:00 น.

เปิดใจ นิตินัย ศิริสมรรถการ เดินหน้ารับไม้ต่อ คิงเพาเวอร์ เจรจาทอท.ปรับสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน ยันต้องปรับสัญญา ให้การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นธรรม เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าไปต่อไม่ได้ พร้อมยกเลิกสัญญา รอเสนอตัวเปิดประมูลใหม่ ทั้งเร่งจัดระเบียบโครงสร้างทางบัญชี แก้ปัญหาการถูกดีสรัปท์ ดันธุรกิจสู่ขาขึ้น

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หนังสือที่ คิงเพาเวอร์ ส่งถึงบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เรื่องของการขอเจรจา เพื่อพิจารณาแนวทางยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 สัญญา รวม 5 ท่าอากาศยานหลักของ AOT ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานส่วนภูมิภาค 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (สงขลา) และท่าอากาศยานเชียงใหม่นั้น ทางคิงเพาเวอร์ ได้ส่งไปยังทอท.ก่อนที่ตนเองจะเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ คิงเพาเวอร์ฯ

นิตินัย ศิริสมรรถการ

แต่เมื่อตนเข้ามาเป็นซีอีโอ ก็คงต้องรอการตอบกลับจากทอท.ก่อนว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป ถ้าทอท.พิจารณาให้มีการเจรจาสัญญา ตนก็จะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ต่อไป ในฐานะซีอีโอ ซึ่งที่ผ่านมา คิงเพาเวอร์ ก็มีหนังสือหารือกับทอท.มาโดยตลอดถึงการขอเจรจา เพื่อลดผลกระทบของธุรกิจ จากโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 รวมถึงการขอคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรีขาเข้า ซึ่งส่งผลกระทบให้จุด PICK UP เคาท์เตอร์ รับสินค้าหายไปด้วย ก็ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวที่ซื้อดิวตี้ฟรี ไม่สามารถฝากสินค้าไว้ ต้องถือออกไปนอกประเทศด้วย  

การเจรจาที่ผ่านมามีทั้งการขอให้ทอท.พิจารณาขอแบ่งจ่ายหนี้ การพักหนี้ แต่การทำหนังสือครั้งล่าสุด คือ เราต้องการหารือเพื่อพิจารณายกเลิกสัญญา แต่หากทอท.มีการหารือและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนสัญญา ให้คิงเพาเวอร์ยังดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ขาดทุน ก็จะทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อได้ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ เพราะด้วยสถานการณ์การดำเนินธุรกิจในวันนี้ ต้องยอมรับว่าเงื่อนไขที่ทำสัญญาไว้ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ

เปิดใจซีอีโอ คิงเพาเวอร์ เจรจาทอท.ปรับสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน เร่งดันธุรกิจสู่ขาขึ้น

หากการเจรจาระหว่างกันช่วยทำให้คิงเพาเวอร์เดินต่อได้ และสถาบันการเงินยังปล่อยกู้ ก็จะเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยทางคิงเพาเวอร์ ต้องการให้เกิดการปรับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นธรรม เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

หรือหากเจรจาแล้วตกลงกันไม่ได้ จะยกเลิกสัญญาเราก็เข้ามาเคลียร์บัญชี และหากทอท.จะมีการประมูลใหม่ คิง เพาเวอร์ ก็พร้อมเข้าประมูลใหม่เช่นกัน ซึ่งจะเป็นการประมูลที่อยู่บนพื้นฐานบริบทใหม่ และการจ่ายผลตอบแทนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

 

เนื่องจากสถานการณ์ที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ต้องเผชิญทำให้ไปต่อไม่ได้ เป็นเหตุสุดวิสัยและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยมิได้เกิดจากการกระทำของบริษัทฯ โดยเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถประกอบการและปฎิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ได้ มี 7 ประเด็นดังนี้

  1. การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 กระทบต่อวิธีการคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ลดลงจากการหยุดประกอบการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้าอย่างไม่เป็นธรรม และแตกต่างจากเจตนาของ TOR และสัญญาฯอย่างมีนัยสำคัญ
  2. การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2530 (ฉบับที่ 7 ) ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ยกเว้นอากรสินค้าไวน์ที่ระบุไว้ในประกาศฯ (จากเดิมอัตราอากรอยู่ที่ร้อยละ 60) ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่าย
  3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของทอท. บางส่วน(เนื้อที่ประมาณ 491.220 ตารางเมตร) ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งทอท.ใช้วิธีคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ต้องชำระให้แก่ทอท.ที่ปรับลดลงตามสัดส่วนของพื้นที่ขอคืนมีผลต่อยอดจำหน่ายสินค้าลดลง
  4. การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซี่งมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยสูงสุด
  5. สถานการณ์ภายในประเทศอันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร เช่น การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ การปิดตัวของบริษัทในหลายอุตสาหกรรม อาชญากรรมทางไซเบอร์ (แก๊งค์ คอลเซ็นเตอร์) หรือการถล่มของตึกสตง.จากแผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในประเทศ
  6. สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังมีผลกระทบต่อธุรกิจ
  7.  สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

นายนิตินัย กล่าวต่อว่า ภารกิจหลักของการเป็นซีอีโอบริษัทเอกชน คือทำกำไรให้สูงสุด ก็ต้องดูว่าต้องมานั่งดูโครงสร้าง ผมเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568  ก็ยังไม่ได้อ่านอะไรละเอียดมาก แต่ก็พอรู้อุตสาหกรรมเขาอยู่ สิ่งที่เขามองว่าสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการแยกแยะให้ได้ว่า ปัญหาที่คิงพาวเวอร์กำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นปัญหาเชิง “cycle” หรือ “disruption”

เราต้องแยกก่อนว่า ธุรกิจขาลง มันมีทุกธุรกิจ ขาลงถัดไปก็มีขาขึ้น ผมเข้ามาก็ต้องทำให้ธุรกิจกลับมาเป็นขาขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ เพราะหลังโควิด สถานการณ์ ธุรกิจเปลี่ยนไปมาก คนช้อปปิ้ง ออนไลน์ นักท่องเที่ยวจีนหาย ผมเข้ามาก็ต้องแก้ปัญหาธุรกิจที่ถูกดิสทรัป  โดยหนึ่งในความท้าทายสำคัญคือการจัดระเบียบโครงสร้างทางบัญชี เพราะคิงเพาเวอร์ กรุ๊ปมีหลายธุรกิจ มีหลายบิสิเนส ยูนิต อาทิ โรงแรม, คิงเพาเวอร์ มหานคร,ดิวตี้ฟรีในเมือง ต้องเข้าไปดู จัดโครงสร้างให้เหมาะสม