KEY
POINTS
นายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มีทั้งปัจจัยนอกประเทศ ได้แก่ สงครามและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ เช่น รัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ส่งผลกระทบต่อ Supply Chain ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มสูงขึ้น และเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในบางพื้นที่, การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและจีน, ภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ที่ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การขาดดุลการค้ากับจีน และสงครามราคาในธุรกิจร้านอาหาร ที่แข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง จนกลายเป็นเรด โอเชี่ยน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอื่นๆ โดยเฉพาะในระดับกลางและระดับล่าง
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ต่อเนื่องไปยังปีหน้า โดยรวมยังคงอยู่ในช่วง “ชะลอตัว” แต่ไม่ถึงกับถดถอย (Recession) แต่ภาวะในปัจจุบันทำให้ผู้ประกอบการทำงานยากลำบากมาก โดยในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ยังต้องคำนึงถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา ขณะที่รัฐบาลเองต้องเร่งขยายตลาดท่องเที่ยวใหม่
นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและสินค้า และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งนอกจากการเพิ่มทักษะยังจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
“การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้า ๆ คล้ายช่วงก่อนโควิด ผู้ประกอบการจึงต้องเน้นการทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม เพราะหากทำเท่าเดิม ผลลัพธ์จะลดลงอย่างแน่นอน ขณะที่ปัจจัยบวกระยะสั้น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง ช่วยเหลือกลุ่มรากหญ้า และมาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่าย 30,000 บาท ช่วยกระตุ้นกลุ่มชนชั้นกลาง”
นายไพศาล กล่าวอีกว่า เทรนด์ที่ผู้บริโภคจะยังคงให้ความนิยม ได้แก่ 1. Health & Wellness เช่น Plant-Based, Immunity-Boosting Foods เป็นต้น 2. Sustainability & Ethics เช่น Local Sourcing Support, Eco-Packaging ฯลฯ 3. Digital Convenience เช่น Easy Mobile Ordering, Cashless Payments ฯลฯ 4. Value & Quality เช่น Friendly Ingredients, Fair Pricing ฯลฯ 5. Experiential Dining เช่น New Concept, Chef-led Experiences ฯลฯ และ 6. Authenticity Innovation เช่น Creative Fusion Dishes, Craft Beverages ฯลฯ
กลุ่มธุรกิจอาหารไทยเบฟ ดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 2 ประการ ได้แก่ 1. Reach Competitivelyหรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ และ 2. Digital for Growthหรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต โดยจะเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง ทั้งใน 1. กลุ่มบริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ดูแลธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant หรือ QSR)
โดยเป็นหนึ่งในผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ KFC ประเทศไทย ซึ่ง ณ กันยายน 2568 มีสาขารวม 530 สาขา โดยกลุ่ม QSA นี้ถือเป็น “Engine” หรือกลไกขับเคลื่อนหลักในการสร้างรายได้และผลกำไรให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารไทยเบฟในตลาด Mass
2. กลุ่มบริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด (OISHI) เน้นธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและหลากหลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานภายใต้แบรนด์ โออิชิ อีท โตะ (OISHI EATO) ปัจจุบันมี 269 สาขา โดยล่าสุดมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจร้านชาบูชิ และมีแผนเปิดตัว โออิชิ อีททอเรียม ในคอนเซปท์ใหม่ในเร็วๆนี้
3. กลุ่มบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด (FOA) เน้นธุรกิจร้านอาหารอย่างครบวงจร ทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารอาเซียน อาหารตะวันตก ไปจนถึงเค้กและเบเกอรี่ ปัจจุบันมี 63 สาขา กลุ่ม FOA นี้ไม่ได้เน้นการเติบโตด้านปริมาณ (Growth) แต่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็น Value Proposition และเป็นพื้นที่โชว์เคสผลิตภัณฑ์ รวมถึงวัตถุดิบในเครือ TCC เป็นหลัก
ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจอาหารไทยเบฟมีสาขารวมทั้งสิ้น 882 สาขา (ข้อมูล ณ กันยายน 2568) ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ Food Court, QSR, Casual Dining, Premium Buffet, Premium Mass ไปจนถึง Michelin/Fine Dining และมีช่วงราคาสินค้าที่หลากหลายตั้งแต่ 50 บาท ไปจนถึงหลักพันบาท
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,148 วันที่ 13 - 15 wฤศจิกายน พ.ศ. 2568